Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2535
"เศรษฐกิจของจีน : การขยายกรงนกหรือปล่อยนกออกจากกรง ?"             
 


   
search resources

Economics
Investment
China




"การเติบโตของเศรษฐกิจของจีนอย่างจรวด มีปัญหาเกิดขึ้น 2 ประการนั่นคือเป็นการเติบโตที่รวดเร็วเกินไปหรือไม่ บางส่วนเห็นว่ายังเหมาะสม จีนยังคงเป็นตลาดที่นำลงทุนต่อไป"

นโยบายเปิดประตูเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นการจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของจีน เศรษฐกิจจีนในตอนนี้เหมือนธนูที่ยิงออกไปอย่างแรง ลูกดอกจะพุ่งเข้าสู่เป้าหมายหรือไม่ยังไม่อาจรู้

แต่แรงเหนี่ยวนั้นทำให้หลายฝ่ายหวั่นใจว่าเศรษฐกิจจะโตเร็วเกินไป อันเป็นมุมมองที่เกิดจากการจับตาการเติบโตของเขตเศรษฐกิจพิเศษ, การขยายตัวของท่าเรือ 14 แห่ง, ผลได้ผลเสียของธุรกิจต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาลงทุน รวมทั้งนโยบายด้านการเงินที่จะเป็นตัวควบคุมที่สำคัญหากเศรษฐกิจโตจนยั้งไม่ทัน และก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น

การเปิดเสรีระบบเศรษฐกิจของจีนเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเติ้ง เสี่ยว ผิง และเป็นเป้าหมายการวิพากษ์จารณ์อย่างกว้างขวางของนักเศรษฐศาสตร์ด้วย ดังเช่นหนึ่งในนั้นคือ เชนหยุน ผู้วิเคราะห์เศรษฐกิจจีนด้วย "ทฤษฎีนกในกรง" คือเชื่อว่า การปฏิรูปหมายถึงการสร้างกรงนกให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่การปล่อยนกออกจากกรง และนักเศรษฐศาสตร์ก็มองว่า เศรษฐกิจของจีนกำลังเป็นไปในประการหลัง

หากแยกแยะประเด็นที่นักวิเคราะห์จับตามองจะพบว่ามีอยู่สองประเด็นใหญ่ ๆ ด้วยกัน ประการแรกคือ หลายฝ่ายเกรงว่าเศรษฐกิจจีนจะเฟื่องฟูเร็วจนเกินขอบเขตที่จะควบคุมได้ รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการที่เฉียบคมในการตรวจสอบและควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นได้

ประการที่สอง การปฏิรูปกิจการของรัฐทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่คนทำงาน เพราะการแปรรูปกิจการที่เคยเป็นของรัฐเป็นรัฐวิสาหกิจนั้นทำให้คนทำงานที่เคยได้สวัสดิการจากรัฐเสียผลประโยชน์ที่เคยได้ไป ยังไม่รวมการเกิดช่องว่างมหาศาลระหว่างรายได้ของคนงานของรัฐและคนทำงานในภาคเอกชน

แต่ปรากฏการณ์ที่ทำให้เห็นถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจคือการขยายตัวเขตเศรษฐกิจเซินเจิ้นขึ้นอีก 6 เท่า จากเดิม 327.5 ตารางกิโลเมตรเป็น 2,020 ตารางกิโลเมตร

แผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจเซินเจิ้นฉบับปัจจุบันซึ่งมีอายุ 10 ปี (1991-2000) ใช้งบประมาณ 70,000 ล้านหยวน (13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) มากกว่าฉบับเดิมถึง 3 เท่าตัว

แผนการดังกล่าวรวมถึงโครงการจัดสรรน้ำเพื่อใช้ในสถานีพลังงานไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิต 60,000 กิโลวัตต์ โครงการสร้างถนนและสะพานโรงงานปิโตรเคมีและทางรถไฟ

ต่างชาติจ่อคิวรอจีนเปิดตลาดการเงิน

นโยบายการเงินของจีนถือเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมเศรษฐกิจ ขณะนี้รัฐบาลจีนกำลังเร่งกระตุ้นอัตราเงินออมในประเทศ และเน้นการอัดฉีดเงินให้กับภาคอุตสาหกรรม จึงสนับสนุนมีการลงทุนจากต่างชาติให้มากขึ้น

ในเดือนพฤษภาคม 1992 มีธนาคารพาณิชย์จากต่างชาติเข้ามาเปิดสาขาและร่วมทุนกับธนาคารของจีนแล้ว 47 รายและ อีกหลายรายที่ได้ตั้งสำนักงานตัวแทนขึ้น

และที่สำคัญก็คือ ทางรัฐบาลมีแผนจะเปิดเสรีตลาดหุ้นให้มากขึ้นอีก รวมทั้งทำให้เงินหยวนสามารถแลกเปลี่ยนในตลาดโลกได้ ดังที่ เชน หยวนผู้ช่วยฝ่ายบริหารของธนาคารกลางของจีน (พีบีโอซี) เผยว่า "ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของข้อตกลงทั่วไปด้านภาษีและศุลกากร (แกตต์) เราตั้งใจจะเปิดเสรีตลาดการเงินและธนาคารสำหรับต่างชาติให้กว้างขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร"

นอกเหนือจากนั้นจีนยังมีแผนเปิดตลาดประกันรับบริษัทต่างชาติด้วย เบี้ยประกันของจีนในปี 1990 มีมูลค่า 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่ายังน้อยอยู่ ตลาดส่วนนี้จึงยังโตได้อีกมาก

ความเฟื่องฟูของการเงินจีนยังเห็นได้จากการยอมรับตลาดล่วงหน้าว่าเป็นสิ่งถูกกฎหมายหลังจากที่กิจกรรมประเภทนี้จัดเป็นหนึ่งในจำนวน "อบายมุขทั้ง 6" ของประเทศและถือว่าเข้าข่ายการพนันมานาน และตลาดเซี่ยงไฮ้ก็กำลังจะพัฒนาตัวเป็นตลาดล่วงหน้าที่สำคัญของเอเซียด้วย

ตลาดอุปโภคบริโภคของจีนที่มีลูกค้าอยู่ถึง 1,000 ล้านคนล่อใจนักลงทุนทั่วโลกมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 แต่วันนี้สิ่งที่ปรากฏออกมาคือ ความคาดหมายที่เกินจริง เพราะยิ่งนานวันความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ก็เผยตัวออกมามากขึ้น

จากตัวเลขของ HONG KONG TRADE DEVELOPMETN COUNCIL พบว่า การทำสัญญาลงทุนของธุรกิจต่างชาติเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 68% แต่ตัวเลขการลงทุนจริงกลับเพิ่มขึ้นเพียง 14% เท่านั้น

แต่เมื่อเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ของปีนี้การลงทุนจากต่างชาติหนาแน่นกว่าเดิมมาก เพียงช่วง 2 เดือนนี้มีการทำสัญญาลงทุนของธุรกิจต่างชาติถึง 3,530 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดียวกันในปี 1991 ถึง 2 เท่า โดยเป็นเงินของนักลงทุนจากฮ่องกงถึง 56% (1,110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ตามมาด้วยนักลงทุนจากไต้หวัน

ตัวเลขการลงทุนจากต่างชาตินี่เอง เป็นจุดหนึ่งของการวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจจีนโตเร็วเกินไป บางกลุ่มเห็นว่าภาวะการลงทุนเช่นนี้จะพองตัวอย่างรวดเร็วและแตกลงภายใน 5 ปี ซึ่งเป็นภาวะเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 1980

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น การริเริ่มโครงการใดใดในจีนให้ประสบผลสำเร็จจึงควรกินเวลาน้อยกว่า 5 ปี

ฉะนั้น โครงการระยะยาวที่ใช้เงินลงทุนสูงจึงเสี่ยงมากกว่าโครงการระยะสั้น วู ตัน อวย ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจีนของฮ่องกง กล่าวว่า "นี่เป็นโอกาสทองในช่วงสั้น ๆ สำหรับนักลงทุนต่างชาติเพราะหัวเมืองต่าง ๆ ในจีนกำลังแข่งขันกันหยิบยื่นสิ่งล่อใจให้กับนักลงทุน แต่การแข่งขันนี้เองจะนำไปสู่การเติบโตจนเกินขอบเขตของเศรษฐกิจ"

แต่ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติเองกลับเห็นว่าบรรยากาศการลงทุนของจีนนั้นสะดวกราบรื่นโดยดูจากภาระหนี้สินของประเทศที่ลดลง, ดุลการค้าที่ยังดีอยู่ บวกกับอัตราการออมเงินต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น

นักธุรกิจของต่างชาติ และนายธนาคารก็เห็นพ้องกันว่า จีนเป็นประเทศที่ก้าวไปไกลที่สุดในจำนวนประเทศ ที่เพิ่งเปิดพรมแดนอย่างเวียดนาม, พม่าและกลุ่มเอเชียกลางอื่น ๆ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมากฎหมายจีนได้ผ่อนปรนให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น

แต่ความจริงแล้ว จีนยังมีกฎหมายที่ยังสร้างความสับสนให้กับกระบวนการทำธุรกิจอยู่ เช่นหลักการบัญชีของจีนซึ่งมุ่งทำบัญชีเพื่อการจ่ายภาษีโดยไม่คำนึงถึงด้านการบริหาร และกระบวนการตัดหนี้สูญของธนาคารก็ยุ่งยาก เพราะเจ้าหนี้จำต้องเสียรายจ่ายด้านดอกเบี้ยด้วย ทั้ง ๆ ที่หนี้บางก้อนเป็นหนี้สูญ จึงเท่ากับว่าเขาเสียภาษีกับผลประโยชน์ที่ไม่ได้รับ

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เฟื่องแข่งฮ่องกง

ในด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น แม้นักลงทุนบางรายอย่างดีเร็กซ์ ซาน "ซิโนแลนด์" จะชี้ว่าการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจีนยุ่งยากน้อยกว่าในมาเลเซีย และรัฐบาลก็มีประสิทธิภาพมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"

แต่ซิโนแลนด์ได้รับความสะดวกเพราะเข้าไปในตลาดจีนตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว จึงมีสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ

สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีสายสัมพันธ์ตรงนี้จะพบว่าการทำธุรกิจในจีนนั้นมีกระบวนการที่ยุ่งยากไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่กระบวนการเหล่านี้ก็ขยับเข้าใกล้มาตรฐานของชาติอาเซียนอื่น ๆ แล้ว แต่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจก็ยังมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้หลายมณฑลของจีนจึงใช้ระบบการเช่าที่เหมือนที่ทำกันในฮ่องกงเพราะทำให้การพัฒนาที่ดินเป็นไปได้ง่ายขึ้น ราคาที่ดินในเขตเศรษฐกิจของจีนจึงเพิ่มขึ้นพรวดพราดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะยังมีราคาเพียง 1 ใน 3 ของราคาที่ในฮ่องกง

แต่การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างเขตเศรษฐกิจของจีนกับฮ่องกงก็จะทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่ใกล้เคียงกัน ในขณะที่ราคาที่ดินของมลฑลอื่นที่ไม่ใช่เขตเศรษฐกิจจะยังคงไต่ขึ้นอย่างช้า ๆ

ตลาดคอนซูเมอร์ : หนึ่งในปัจจัยชี้การเติบโตเกินขอบเขต

เมื่อหันมาดูตลาดอุปโภคบริโภคของจีนจะยิ่งพบการเติบโตที่มากมายอย่างเห็นได้ชัด เพราะตลาดจีนมีผู้บริโภคถึง 1,000 ล้านคนและรัฐบาลจีนก็ยินยอมให้ต่างชาติเข้าไปประกอบการได้แล้วด้วย

ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคทุกประเภทมีสูงมากร้านค้าปลีกและค้าส่งของจีนก็เปิดกว้างรอการร่วมทุนจากต่างชาติอย่างเต็มที่ ทำให้มีการร่วมทุนกับต่างชาติอย่างคึกคัก

หนึ่งในบริษัทใหญ่ที่เข้ามาร่วมทุนในจีนคือ "อัลไลด์กรุ๊ป" กลุ่มธุรกิจจากฮ่องกงของลี หมิง ตี ตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา อัลไลด์เข้าไปร่วมทุนกับบริการของจีนเป็นมูลค่าการลงทุน 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเน้นธุรกิจอาหารและอาหารสัตว์

แต่กรณีของอัลไลด์เป็นเรื่องของบริษัทใหญ่ ที่มีเงินลงทุนมหาศาล สำหรับธุรกิจขนาดกลาง และเล็กแล้ว หนทางขยายธุรกิจไม่ได้ง่ายเช่นนี้เสมอไป เพราะบริษัทนั้น ๆ ต้องมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายและบริการที่ดีจึงจะประสบความสำเร็จได้ และนั่นหมายถึงว่า ธุรกิจนั้น ๆ จะต้องเข้าไปสร้างช่องทางการเติบโตได้มากพอสมควรแล้ว

นอกจากนั้น บริษัทต่างชาติยังมีปัญหากับเงินหยวนที่ยังแลกเปลี่ยนในตลาดโลกไม่ได้ด้วยสำหรับกรณีค่าเงินหยวนนี้ โฮปเวลล์ โฮลดิ้งดูจะโชคดีกว่าใคร ๆ เพราะโครงการใหญ่ ๆ หลายโครงการของบริษัทไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์ไฮเวย์, โรงงานไฟฟ้าทั้งสองคือ "ชาเจียว บี" และชาเจียว ซี" นั้นแม้จะมีรายได้เป็นเงินหยวน แต่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้แลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์ได้ในตลาดเงินกวางตุ้ง

ผิดกับ "ไชน่า ไลต์ แอนด์ พาวเวอร์" หนึ่งในธุรกิจกลุ่มแรก ๆ ที่เข้าไปดำเนินกิจการในจีนเพราะบริษัทต้องงดโครงการสำรวจความเป็นไปได้ในการลงทุนด้านพลังงานเพิ่มเมื่อต้องมีรายได้เป็นเงินหยวน เนื่องจากความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินอาจกระทบต่อผลกำไรของบริษัท ในเมื่อบริษัทลงทุนเป็นดอลลาร์

การลงทุนจากต่างชาติเฟื่องฟูมากและทิ้งห่างธุรกิจของรัฐมากขึ้นทุกที ธุรกิจในภาครัฐมีผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 8% เมื่อปีที่ผ่านมา ส่วนผลผลิตของภาคเอกชนที่ร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 56%

ความแตกต่างตรงนี้เองที่ทำให้รัฐบาลหวังจะหนุนให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยตรง คือการซื้อหุ้นในกิจการของรัฐ กระนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดีเพราะแม้จะได้เปรียบการร่วมทุนตรงที่ไม่ต้องไปเริ่มตั้งบริษัทใหม่ แต่นักลงทุนต่างชาติจะมีปัญหาด้านการกำหนดราคาสินค้า หรือมีปัญหาในการประสานงานกับบริษัทเดิมได้ง่าย การทำธุรกิจที่นิยมจึงยังเป็นรูปแบบของการร่วมทุนอยู่อย่างเดิม

ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น เมื่อขมวดปมเข้าจะพบว่า ต้นตอมาจากที่เดียวกัน คือการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตอย่างรวดเร็วของรัฐบาล

ความเห็นในจุดนี้ไม่ได้มีแต่เพียงในส่วนของนักวิเคราะห์เท่านั้น แม้แต่ หวาง บิง เกียน อดีตรัฐมนตรีคลังของจีนก็ได้กระตุ้นให้ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ลดการเติบโตของเศรษฐกิจลงแล้วหันกลับไปใช้นโยบายการวางแผนจากส่วนกลาง เพราะเขาเห็นว่า "การสร้างใหม่นั้นไม่ผสานกับการวางแผนของรัฐบาล ซึ่งถ้าสมดุลโดยรวมไม่ดีแล้วจะเป็นการบั่นทอนความกระตือรือร้นของประชาชน ทำลายประเทศ เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ และทำให้ทุกอย่างช้าลง"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us