Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2535
"จุลจิตต์ บุณยเกตุ มืออาชีพโปร่งใสใน อสมท."             
 


   
www resources

โฮมเพจ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย

   
search resources

องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (MCOT)
ไอบีซี ซิมโฟนี, บจก.
ไทยสกายทีวี
จุลจิตต์ บุณยเกตุ
News & Media




"ผมพร้อมที่จะลาออกจากการเป็นกรรมการในคณะกรรมการชุดนี้" จุลจิตต์ บุณยเกตุ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยออยล์กล่าวในการประชุมคณะกรรมการ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) เพื่อแสดงจุดยืนว่า ตนไม่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับผลประโยชน์ใน อสมท. ใด ๆ ทั้งสิ้น

ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้จุลจิตต์ ต้องกล่าวประโยคดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมการ อสมท. ก็สืบเนื่องมาจากการที่ อส.มท. ได้มีการอนุมัติการดำเนินโครงการเคเบิลทีวีให้กับเอกชนจำนวน 2 บริษัทคือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือไอบีซี กับบริษัท สยามบรอดแคสติ้ง แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น หรือที่เรียกกันติดปากว่า ไทยสกายทีวี

เป็นที่รู้กันว่า การทำโครงการเคเบิลทีวีของ อส.มท. ในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ให้ผลตอบแทนอย่างมหาศาล เพราะรายได้จากค่าสมาชิกนั้น นับเป็นรายได้หลักที่เป็นตัวเงินที่ค่อนข้างสูงทีเดียว

แต่ที่ใดมีผลประโยชน์ที่นั่นย่อมมีความขัดแย้งกัน !!!

เรื่องของความขัดแย้งนั้นมาจากการที่ "คลื่นสัญญาน" ของเคเบิลทีวีทั้งสองบริษัท มีคลื่นความถี่รบกวนกันคือ ช่อง 26 ของไอบีซี และช่อง 27 ของไทยสกาย

ทั้งนี้ เนื่องมาจาก ในการอนุมัติคลื่นเคเบิลของ อสมท. ให้กับไอบีซี เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2532 จำนวน 5 ความถี่โดยเริ่มต้นเพียง 3 ช่องนั้นไอบีซีก็ดำเนินการไปอย่างดีและเริ่มมองที่จะขยายช่องความถี่

อย่างไรก็ตาม ในการขยายช่องความถี่นั้น คลื่นของไอบีซี ได้ไปรบกวนคลื่นของไทยสกายข้างต้นดังกล่าว

"เราทำเรื่องไปยัง อสมท. เป็นปีแล้ว แต่เพิ่งมีการพิจารณาเรื่องนี้" คีรี กาญจนพาสน์ คนโตของค่ายไทยสกายกล่าวถึงการที่บริษัทต้องการให้มีการแก้ปัญหาเรื่องคลื่นรบกวนกันของ 2 บริษัทเคเบิลในเครือ อสมท.

ในที่สุด เรื่องของ "คลื่นรบกวน" ก็เข้าที่ประชุมของ อสมท. ในวันที่ 7 กันยายนเพื่อหาข้อยุติในเรื่องนี้

แต่ก่อนที่มีการประชุมคณะกรรมการในตอนบ่ายวันนั้นเอง ไอบีซี ก็มีหนังสือ "ด่วนมาก" ที่อบ. 19/2535 ถึงนายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน เรื่อง ขอความเป็นธรรมในการดำเนินกิจการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกร่วมกับองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย โดยระบุว่าในคณะกรรมการ อสมท. นั้นมีกรรมการท่านหนึ่ง ให้ความช่วยเหลือไทยสกายทีวี

ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวให้รายละเอียดว่า จุลจิตต์ บุณยเกต หนึ่งในกรรมการของ อสมท. ให้ความช่วยเหลือไทยสกาย เนื่องมาจากจุลจิตต์เป็นกรรมการคนหนึ่งของบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) อันเป็นบริษัทของธนายงซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกันกับไทยสกายทีวี ของคีรี กาญจนพาสน์

หนังสือร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีฉบับดังกล่าวของไอบีซี ซึ่งลงนามโดยพันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร ประธานกรรมการกลุ่มชินวัตร แอนด์คอมมิวนิเคชั่น ได้อ้างถึงความผิดของจุลจิตต์ว่า ขัดกับมาตรา 14 ในพระราชกฤษฏีกาจัดตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2520 ที่ระบุว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการพนักงานและลูกจ้าง ของ อสมท. ต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในธุรกิจที่กระทำกับ อสมท. หรือในธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับกิจการของ อสมท. ทั้งนี้ไม่ว่า โดยทางตรงหรือทางอ้อม"

แหล่งข่าวในอสมท.เปิดเผย "ผู้จัดการ" ว่า ในวันที่ 8 กันยายน ภายหลังจากที่ได้รับหนังสือร้องเรียนจากไอบีซี อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี ก็มีบันทึกถึงมีชัย วีระไวทยะ และ ดร.ไพจิตร เอื้อทวีกุล 2 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้พิจารณาเรื่องนี้ด่วน"

ต่อมา สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว ก็ได้ทำหนังสือที่ นร. 1201 ถึงนายกรัฐมนตรีผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายมีชัย วีระไวทยะ) ชี้แจงว่า คุณสมบัติของจุลจิตต์ บุณยเกตุ ที่ไอบีซีอ้างว่า ขัดกับพระราชบัญญัติการจัดตั้ง อสมท. นั้น "เป็นเพียงการอ้างเพื่อเชื่อมโยงความเกี่ยวพันระหว่างบริษัทเหล่านั้นเท่านั้น"

หนังสือดังกล่าวระบุด้วยว่า จุลจิตต์นั้น เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 35/2535 ลงวันที่ 6 มีนาคม 2535 โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ อสมท. ซึ่งพิจารณาว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง อสมท. รวมทั้งพิจารณาประวัติการทำงานของจุลจิตต์แล้ว พบว่า เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและร่วมปฏิบัติงานด้านสื่อสารมวลชนของรัฐมาเป็นเวลานาน

ที่สำคัญก็คือหนังสือดังกล่าวที่มีถึงนายกรัฐมนตรียังได้ระบุด้วยว่าตลอดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งกรรมการใน อสมท. จุลจิตต์ยังได้ทุ่มเทความรู้ความสามารถและประสบการณ์ มาปรับปรุงพัฒนางานของ อสมท. หลายด้าน เช่น ในด้านการตลาด และด้านธุรกิจรวมทั้งจัดทำโครงการจัดตั้งบริษัทมหาชนเพื่อประกอบธุรกิจสื่อสารมวลชนเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง อสมท. ด้วย

และที่เป็นจุดสำคัญของการจบเรื่องนี้ ก็น่าจะมาจากหนังสือที่ลงนามโดย อภิลาส โอสถานนท์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร. 1201/717 ลงวันที่ 15 กันยายน 2535 ที่มีถึงประธานกลุ่มชินวัตร ซึ่งระบุว่านายกรัฐมนตรี มีบัญชาแจ้งให้ทราบว่า การดำรงตำแหน่งของจุลจิตต์ บุณยเกตุ ในโครงการรถไฟฟ้า ไม่เข้าข่ายต้องห้ามตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2520 มาตรา 14 แต่อย่างใด

จุลจิตต์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ภายหลังการประชุมคณะกรรมการ อสมท. ว่าตนได้กล่าวถึงการที่ต้องการลาออกจากกรรมการ อสมท. ว่าเพื่อให้ทุกคนรู้ว่า ตนไม่ได้มีส่วนได้เสียในโครงการเคเบิลทีวีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คณะกรรมการได้พิจารณาว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ จึงไม่อนุมัติให้ออก

"ผมเชื่อในเกียรติยศและศักดิ์ศรี และเพื่อให้โปร่งใสจึงขอลาออกจากการเป็นกรรมการ แต่ที่ประชุมไม่ยินยอม" จุลจิตต์กล่าว และเปิดเผยว่าในเรื่องที่เป็นความขัดแย้งด้านธุรกิจคือเรื่องคลื่นรบกวนนั้นคณะกรรมการตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณา โดยมี พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ รองอธิบดีกรมตำรวจ เป็นผู้ดูแลเรื่องนี้

การเข้าไปเกี่ยวข้องกับ อสมท. ของจุลจิตต์นั้น มาจากความรู้ความสามารถของเขาที่เคยมีประสบการณ์ด้านการประชาสัมพันธ์ ในฐานะผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ไทยออยส์ โดย ดร. จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะรัฐมนตรีผู้ดูแล อสมท. เป็นผู้ชักชวนมาเป็นกรรมการบริหาร อสมท. เมื่อปี 2529 และเกี่ยวข้องกับงานนี้และองค์กรนี้มาโดยตลอด

การยืนยันที่จะลาออกแต่ถูกยับยั้งของจุลจิตต์ รวมทั้งการมีหนังสือชี้แจงจากสำนักนายกรัฐมนตรี ถึงนายกรัฐมนตรี และระบุว่า จุลจิตต์เป็นผู้ที่มีความเหมาะสมนั้นนอกจากจะเป็นเครื่องการันตีในเรื่องความรู้ความสามารถแล้ว ยังเป็นเครื่องหมายชี้ถึงความ "โปร่งใส" ในฐานะนักบริหารของเขาอีกด้วย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us