"นับวันการแย่งชิงตำแหน่งดาวเทียมในอวกาศจะมีมากขึ้น การเจรจาหาทางออกตั้งอยู่บนข้อตกลงระหว่างประเทศซึ่งมีอยู่มากมาย"
หากจะท้าวความถึงข้อเขียนในครั้งก่อน ซึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาของหลักกฎหมายระหว่างประเทศในการจัดสรรตำแหน่งวงโครจรดาวเทียม
โดยเริ่มจากประเทศกำลังพัฒนาได้หวั่นเกรงเมื่อเวลาประเทศที่มีความพร้อมที่จะส่งดาวเทียมขึ้นสู่ท้องฟ้าวงโครจรจะแออัดไม่มีตำแหน่ง
กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจึงเสนอแนวความคิด และหลักการเรื่องทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ในการสื่อสารให้เป็นสมบัติร่วมกันของมนุษย์ชาติแต่กลุ่มประเทศพัฒนา
ซึ่งมีขีดความสามารถและความพร้อมทุกด้านอยู่ในฐานะที่จะใช้ทรัพยากรธรรมชาติในฐานะ
"ผู้มาก่อน ย่อมได้ก่อน" ก็ยังพยายามยึดถือในหลักเกณฑ์นั้น
จนกระทั่งมีการแก้ไขบทบัญญัติในอนุสัญญาโทรคมนาคมระหว่างประเทศ 1982 ว่า
"วงโคจรดาวเทียมเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัดจะต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
และประหยัดเพื่อว่าประเทศหรือกลุ่มประเทศอาจจะมีส่วนได้ใช้อย่างเป็นธรรม"
แม้ว่าในอนุสัญญาจะคำนึงถึงความเป็นพิเศษของประเทศกำลังพัฒนา แต่ก็ยังไม่ได้เป็นหลักประกันอย่างเต็มที่จึงมีการประชุมฝ่ายบริหารระดับโลกด้านการวิทยุ
ว่าด้วยตำแหน่งในวงโคจรดาวเทียม เพื่อการสื่อสารโทรคมนาคมและกำหนดแผนการเพื่อใช้ประโยชน์ของบริการสื่อสารทางอวกาศระหว่างปี
1981-1988
และในท้ายที่สุดได้กล่าวถึงปัญหาของเชียแซทของฮ่องกง ได้ร้องเรียนต่อสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศว่า
วงโคจรของดาวเทียมไทยคมที่จะส่งขึ้นไปในอวกาศมีการซ้อนทับกัน ทำให้ต้องมีการหันหน้าเข้าเจรจากันแบบพหุภาคีหรือ
ทวีภาคี เพื่อหาข้อยุติ
สิ่งจำเป็นสำหรับการเจรจาในระดับรัฐ คือ เราต้องพิจารณาถึงข้อตกลงข้อผูกพันที่ประเทศได้ลงนาม
และมีผลผูกพันอันจะเป็นกรอบในการเจรจาและเป็นสิ่งที่สนับสนุนการเจรจาให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
บรรดาข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและโทรคมนาคมที่ประเทศไทยได้ลงนามและมีผลผูกพันมีหลายฉบับ
โดยแยกได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. ข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรและกฎเกณฑ์ เทคนิคเกี่ยวกับการสื่อสาร
โทรคมนาคม
2. ข้อตกลงระหว่างประเทศที่สะท้อนแนวคิด และหลักกฎหมายระหว่างประแทศเรื่องการจัด
ระเบียบการสื่อสารระหว่างประเทศใหม่
3. กฎหมายภายในที่ออกมาเอื้ออำนวยความสะดวกแก่ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการ
สื่อสารโทรคมนาคม
ข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรและกฎเกณฑ์ด้านเทคนิคเกี่ยวกับการสื่อสาร
โทรคมนาคม
ทั้งนี้เนื่องจากทรัพยากรที่ใช้ในกิจการสื่อสารโทรคมนาคมอันได้แก่คลื่นวิทยุ
(RADIO
WAVE) และตำแหน่งในวงโคจรดาวเทียมเพื่อการสื่อสารโทรคมนาคม (THE GEOSTATIONARY
ORBIT) มีจำกัด จึงมีความจำเป็นในการร่วมมือกันระหว่างประเทศต่าง ๆ จัดตั้งองค์กรขึ้นมาดูแลซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมข้อตกลงระหว่างประเทศดังกล่าวดังต่อไปนี้คือ
1.1 อนุสัญญาโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (INTERNATION TELECOMMUNICATION CONVENTION)
ซึ่งเป็นอนุสัญญาก่อตั้งสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (INTERNATIONAL TELECOMMUNICATION
UNION) ในปี 1932 หลังจากนั้นก็ได้มีการแก้ไขและรับรองอนุสัญญารวมถึง 7 ครั้ง
ซึ่งอนุสัญญาโทรคมนาคมระหว่างประเทศฉบับปัจจุบันคือ INTERNATIONAL TELECOMMUNICATION
CONVENTION (NAIROBI) 1982 โดยอนุสัญญาดังกล่าวได้บัญญัติเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรของ
ITU และกฎเกณฑ์กว้าง ๆ เกี่ยวกับการสื่อโทรคมนาคม ส่วนกฎเกณฑ์เฉพาะของบริการสื่อสารโทรคมนาคมนั้นได้บัญญัติไว้ในข้อบังคับ
(REGULATION) โดยประเทศสมาชิกจะลงนามในสัตยาบันสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศของข้อบังคับดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนในมาตรา
43 วรรค 1 และมาตรา 83
ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาโทรเลขระหว่างประเทศปี 1875 และได้ลงนามในอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการโทรเลขระหว่างประเทศ
ที่แก้ไขใหม่เรื่อยมา จนสืบเนื่องมาเป็นอนุสัญญาโทรคมนาคมระหว่างประเทศ 1982
ในปัจจุบัน
1.2 ข้อบังคับการโทรเลข 1973 (TELEGRAPH REGULATION) และข้อบังคับการโทรศัพท์
(TELEPHONE REGULATION) 1973 ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์เฉพาะทางด้านบริการสื่อสารโทรคมนาคมและถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอนุสัญญาโทรคมนาคมระหว่างประเทศนั่นเอง
อย่างไรก็ดีเนื่องจากเทคโนโลยีทางด้านการสื่อสารโทรคมนาคมได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
จนทำให้ยากที่จะแยกว่าการบริการใดเป็นโทรเลข และการบริการใดเป็นโทรศัพท์
จึงได้มีข้อบังคับการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (INTERNATIONAL TELECOMMUNICATION
REGULATION) 1988 ซึ่งมีผลบังคับใหม่ได้ให้คำนิยามศัพท์ไว้ในลักษณะกว้าง
ๆ ที่ยืดหยุ่นได้เพื่อที่จะครอบคลุมการสื่อสารโทรคมนาคมที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วนั้นเอง
1.3 ข้อบังคับการวิทยุปี 1959 และข้อบังคับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์เฉพาะทางด้านบริการสื่อสารโทรคมนาคม
โดยคุณลักษณะเฉพาะของความถี่คลื่นวิทยุข้อบังคับการวิทยุจึงได้พื้นที่ของโลกออกเป็น
3 ภูมิภาค (REGION)
ภูมิภาคที่ 1 คือ บริเวณทวีปยุโรปและแอฟริกา ภูมิภาคที่ 2 คือบริเวณทวีปอเมริกาทั้งหมด
ภูมิภาคที่ 3 คือบริเวณเอเชีย
นอกจากนี้ยังต้องแบ่งคลื่นความถี่วิทยุออกเป็นแต่ละช่วง โดยพิจารณาจากการนำไปใช้งาน
และแบ่งความถี่คลื่นวิทยุ (RADIO FREQUENCY) ออกเป็น 9 แถบเพื่อใช้ในกิจการต่าง
ๆ กัน และจัดสรรให้ประเทศต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาคด้วย
1.4 กรรมการสุดท้ายของการประชุมฝ่ายบริหารระดับโลกด้านโทรเลขและโทรศัพท์
(FINAL ACT OF THE WORLD ADMINISTRATIVE TELEGRAPH AND TELEPHONG CONFERENCE
: WARC) ซึ่งเป็นมติของที่ประชุมของการประชุมใหญ่ฝ่ายบริหารซึ่งเป็นองค์กรหนึ่งในสหภาพโทรคมนาคมนั้น
โดยองค์กรดังกล่าวจะจัดประชุมทุก 3-7 ปี การโทรศัพท์และข้อบังคับวิทยุกรรมการสุดท้ายที่ประเทศไทยลงนามและให้สัตยาบันฉบับปัจจุบันคือ
กรรมการสุดท้ายของการประชุมใหญ่ ฝ่ายบริหารระดับโลกด้านโทรเลขและโทรศัพท์
1973 (GENEVA) นั้นเอง
1.5 ข้อแนะนำ (RECOMMENDATIONS) ต่าง ๆ ทางด้านเทคนิคของคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาการโทรเลขและโทรศัพท์ระหว่างประเทศ
(INTERNATIONAL CONSULTATIVE RADIO COMMITTEE) ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์การปฏิบัติในการให้บริการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศ
กำหนดประเภทบริการสื่อสารโทรคมนาคมใหม่ กำหนดมาตรฐานทางเทคนิคและกำหนดมาตรฐานอัตราค่าบริการโดยปรับปรุงและแก้ไขข้อแนะนำทุก
5 ปี
ประเทศสมาชิกจะนำไปปฏิบัติโดยมิต้องลงนาม แต่ก็มีผลผูกพันรัฐสมาชิกให้ปฏิบัติตามด้วย
ความจำเป็นและผลประโยชน์ร่วมกันในการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคม (NOT LEGAL BINDING
BUT TECHNICAL BINDING)
ข้อตกลงระหว่างประเทศที่สะท้อนแนวคิดและหลักการกฎหมายระหว่างประเทศ เรื่องการจัดระเบียบสื่อสารระหว่างประเทศใหม่
2.1 อนุสัญญาว่าด้วยหลักการที่ใช้บังคับกิจกรรมขอองรัฐในการสำรองและใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศ
รวมทั้งดวงจันทร์ และเทหวัตถุอื่น ๆ ปี 1967 (TREATY ON PRINCIPLES GOVERNING
THE ACTIES OF STATES IN THE EXPLORATION AND USE OF OUTER SPACE, INCLUDING
THE MOON AND OTHER CELESTRAIL BODIES 1967) สนธิสัญญาฉบับนี้มิได้บัญญัติถึงกิจกรรมสื่อสารโทรคมนาคม
ระบบดาวเทียม แต่เมื่อพิจารณามาตรา 4 แล้วน่าจะตีความได้ว่า สนธิสัญญาฉบับนี้รับรองให้การส่งดาวเทียมสื่อสาร
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในทางสันติขึ้นไปโคจรรอบโลกได้ ประเทศสมาชิกภาคีมีอำนาจรัฐเหนือดาวเทียมที่จดทะเบียนแต่รัฐจะต้องรับผิดชอบต่อกิจกรรมในห้วงอวกาศของดาวเทียมด้วย
2.2 ความตกลงเกี่ยวกับองค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (AGREEMENT
RELATION TO THE INTERNATIONAL TELECOMMUNICATIONS SATELLITE ORGANIZATION
: INTELSAT) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์ใช้ดาวเทียมเพื่อการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศในเชิงพาณิชย์
(COMMERCIAL BASIS) ในลักษณะของการลงหุ้นและคืนเงินปันผลคล้ายสหกรณ์ โดยสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง
INTELSAT ขึ้นในปี 1964 SATELLITE CORPORATION ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนของสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จัดการ
INTELSAT แต่เดิมมิได้มีสถานะเป็นองค์กรระหว่างประเทศ แต่เป็น CONSORTIUM
ต่อมาภายหลังประเทศสมาชิกไม่เห็นด้วยกับระบบ CONSORTIUM จึงได้มีการเจรจาและบรรลุถึงข้อตกลงใหม่จัดตั้ง
INTELSAT เป็นองค์การระหว่างประเทศขึ้นในปี 1973
กฎหมายภายในที่ออกมาเอื้ออำนวยความสะดวกแก่ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับสื่อสารโทรคมนาคม
กฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ของรัฐ
ในการดำเนินการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และดำเนินการตามเทคนิค ซึ่งเป็นกฎหมายที่ผูกพันในระดับรัฐบาลหรือเฉพาะฝ่ายบริหารเท่านั้นที่จะต้องปฏิบัติตาม
จึงไม่ต้องตรากฎหมายออกมารองรับเพราะไม่อยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 162 วรรค
2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคมบางฉบับ
กำหนดให้ประเทศสมาชิกจะต้องให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน (PRIVILEGS AND IMMUNITIES)
และการดำเนินงานขององค์กรตามที่อนุสัญญาฉบับนั้นได้บัญญัติไว้
ในกรณีเช่นนี้ก็จะต้องตรากฎหมายขึ้น เพื่อคุ้มครองการดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว
เพราะการที่องค์กรจะได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันนั้นมิใช่นำไปใช้ยืนยันกับฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น
แต่องค์กรย่อมจะต้องได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มครองจากทุกท่าน และใช้อ้างต่อพลเมืองของประเทศสมาชิกได้ด้วย
การที่องค์กรใด ๆ ได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้นครองกันย่อมเป็นการจะต้องได้เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน
ย่อมเป็นการได้รับสิทธิพิเศษแตกต่างไปจากพลเมืองของรัฐและอาจจะกระทำการในลักษณะที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของพลเมืองของรัฐ
อนุสัญญาใด ๆ ที่บทบัญญัติให้เอกสิทธิ์และความคุ้มครองแก่องค์กรตามที่อนุสัญญาดังกล่าวกำหนดไว้ย่อมอยู่ภายใต้บังคับมาตรา
162 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
ประเทศไทยรับหลักการนี้ จึงมี พ.ร.บ.คุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติ
และทบวงชำนาญการพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. 2504 ซึ่งให้ความคุ้มครองกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศและ
พ.ร.บ. คุ้มครองการดำเนินงานขององค์กรโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ
พ.ศ.2524
ถึงแม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีข่าวว่าปัญหาเรื่องวงโคจรดาวเทียมที่ซ้อนทับกันระหว่างดาวเทียมไทยคม
กับดาวเทียมของฮ่องกง ได้มีการเจรจาประนีประนอมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตาม
แต่ประเทศไทยยังมีปัญหากับกฎหมายภายในนั่นคือ กฎหมายโทรคมนาคมของไทย ได้กลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาการสื่อสารและโทรคมนาคมของประเทศ
กล่าวคือ บทบัญญัติของ พ.ร.บ. โทรเลขและโทรศัพท์ 2477 ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า
รัฐมีความสามารถเพียงพอที่จะให้บริการประชาชนได้
แต่ว่าในปัจจุบันประเทศอุตสาหกรรมตะวันตกหลายประเทศซึ่งเป็นประเทศแม่แบบของกฎหมายที่รัฐผูกขาดการให้บริการโทรคมนาคม
ต่างก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมาย โดยให้เอกชนเข้ามามีส่วนในการให้บริการด้านการโทรคมนาคม
เช่น ประเทศอังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่น
ในประเทศไทยองค์การโทรศัพท์และการสื่อสารแห่งประเทศไทยเอง ก็มีข้อจำกัดทางด้านงบประมาณและ
TECHNOLOGY ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ จึงต้องมีการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม
เพราะมิฉะนั้นแล้วการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ คงไปไม่ไกลได้เท่าที่ควร