Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2535
"รัฐลงทุน R&D แทนเอกชน"             
 


   
search resources

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
มนตรี จุฬาวัฒนทล
Investment




เมื่อปลายปี 2534 สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาผ่านพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นผลให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (กพวท.) และศูนย์เทคโนโลยีเฉพาะทางอีก 3 ศูนย์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสำนักงานแห่งชาติโดยทันทีที่กฎหมายปรากฏในราชกิจจานุเบกษา

วันที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หรือ NATIONAL SCIENCE AND TECHNOLOGY DEVELOPMENT BOARD (NSTDA) ถือกำเนิดขึ้นนั้นก็คือ วันที่ 30 ธันวาคม 2534 ก่อนสิ้นสุดปีเพียง 1 วัน

พ.ศ. 2535 จึงถือได้ว่าเป็น "ศักราชแรก" ของสวทช.

งานของหน่วยงานแห่งนี้ที่ได้รับมอบหมายตามกฎหมายก็คือ ทำหน้าที่ส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ รวมทั้งมีบทบาทเป็นองค์กรที่สามารถประสานและส่งเสริมการร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ วิชาการและธุรกิจเอกชนในกิจกรรมด้านนี้ด้วย ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์

ความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโลกในปัจจุบันและอนาคตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถือว่าเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ทีเดียว

ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นับตั้งแต่ฉบับที่ 5 เป็นต้นมาได้มีการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนา "เครื่องมือ" ชนิดนี้อย่างจริงจังขึ้น โดยในช่วงปลายแผนได้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐจัดทำโครงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาทั้งด้านเทคโนโลยีวัสดุด้านเทคโนโลยีชีวภาพและด้านอิเล็คทรอนิกส์ประยุกต์ ซึ่ง กพวท. ก็ถือกำเนิดขึ้นจากจุดนี้เองเพื่อเป็นหน่วยงานบริหารโครงการ

ส่วนศูนย์เพื่อการวิจัยอีก 3 ศูนย์ คือศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (NCGEB) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) นั้นมีอยู่ก่อนแล้ว ในสังกัดของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดองค์กรทั้ง 4 นี้ก็ได้รวมกันเข้าเป็นองค์กรเดียว คือ สวทช.

สำหรับประเทศไทยในขณะนี้ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงเท่ากับมี สวทช. เป็นทัพหน้าอย่างแท้จริง ซึ่งมิใช่เฉพาะในเชิงของวิชาการหรือวิทยาการเท่านั้น แต่รวมถึงในแง่ของภาคการผลิตด้วย

กล่าวได้ว่าภาระและบทบาทเช่นนี้ออกจะเป็น "มิติใหม่" เพราะที่ผ่านมานั้น แม้ว่ารัฐบาลจะได้ใช้งบประมาณปีละถึงประมาณ 3,000 ล้านบาทดำเนินกิจกรรมทางด้านนี้ แต่ก็มิได้มีเป้าหมายมุ่งก่อประโยชน์ต่อภาคเอกชนหรือภาคธุรกิจอย่างเน้นน้ำหนักมาก่อน

"กิจกรรมต่าง ๆ ของภาครัฐที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดูจะไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของภาคธุรกิจเอกชน ที่จะต่อสู้แย่งชิง และยึดครองส่วนแบ่งตลาดโลก "มนตรี จุฬาวัฒนทล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว

ที่ผ่านมาภาคเอกชนของไทยต้องลงทุนซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้ เสียค่าใช้จ่ายปีละประมาณ 5,000 ล้านบาท ต้องหาทางพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร โดยจัดฝึกอบรมในภาคเอกชน จัดตั้งการวิเคราะห์ทดสอบและการบริการที่ปรึกษาด้านเทคนิคขึ้นเอง ซึ่งทำให้ต้องพึ่งพิงต่างประเทศสูงมาก

การลงทุนในกิจกรรมพื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาหรือการผลิตบุคลากรนั้นเป็นเรื่องที่เอกชนไทยยังไม่ค่อยทำมากนัก ด้านหนึ่งก็เนื่องจากยังไม่เห็นความสำคัญ ไม่เห็นถึงผลตอบแทนที่ชัดเจนคุ้มค่ากับการลงทุนที่ค่อนข้างสูง แต่ในอีกด้านหนึ่ง สำหรับบริษัทที่เห็นความสำคัญถ้าไม่มีเงินมากพอก็ทำไม่ได้เช่นกัน

กล่าวกันว่าบริษัทที่จะทำ R&D ได้ควรจะต้องมี TURNOVER มากกว่าปีละ 1,000 ล้านบาทเพื่อที่จะสามารถแบ่งมา 1% นั่นคือ 100 ล้านบาทจึงจะเพียงพอสำหรับสร้างแผนกนี้ มิเช่นนั้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้เพราะเพียงแค่เงินเดือนสำหรับนักวิจัยก็สูงมากแล้ว

จุดอ่อนเหล่านี้เองที่ สวทช. คาดหวังว่าจะเข้าไปช่วยแก้ไขได้ ไม่เพียงแต่ด้วยการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและวิศวกรรมของบริษัทต่าง ๆ เท่านั้น แต่มีความมุ่งหมายที่จะเชื่อมโยงเอาจุดแข็งต่าง ๆ ที่หน่วยงานรัฐมีอยู่ส่งผ่านให้ความเกื้อหนุนกับเอกชนด้วย โดยเฉพาะในส่วนของบุคลากร ซึ่งปัจจุบันประมาณ 98% ของจำนวนนักวิจัย 15,000 คนนั้นล้วนอยู่ในหน่วยงานของภาครัฐ

บุคลากรเหล่านี้จะต้องทำงานวิจัยเพื่อมุ่งผลประโยชน์ทางธุรกิจที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนมากขึ้น โดยผลงานวิจัยนั้นจะต้องใช้ได้จริงในการลงสู่ตลาดด้วย

ตามโครงสร้างของ สวทช. ประกอบด้วยหน่วยงานหลัก ๆ หลายหน่วยด้วยกัน ได้แก่สำนักงานส่วนกลาง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์บริการข้อมูลสารสนเทศทางเทคโนโลยี ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะจัดตั้งอุทยานวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามมติของคณะรัฐมนตรีชุดอานันท์ ปันยารชุน 1

ดังนั้น การให้บริการแก่ภาคเอกชนของ สวทช. จึงมีหลายรูปแบบ และหลากหลายช่องทางในหน่วยงานภายในต่าง ๆ ทุก ๆ หน่วย

การสนับสนุนที่สำคัญพอจะแบ่งออกได้เป็น 3 ด้าน คือ หนึ่ง ด้านการวิจัยพัฒนาและวิศวกรรม สองด้านการพัฒนากำลังคน และสาม ด้านการเสริมขีดความสามารถของหน่วยงาน

สวทช. จะสนับสนุนโครงการวิจัยพัฒนาและวิศวกรรมของหน่วยงานราชการ และมหาวิทยาลัยที่มุ่งแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อความเจริญของธุรกิจและอุตสาหกรรมหรือภาคการผลิต โดยภาคเอกชนเป็นผู้ร่วมกำหนดปัญหาที่ต้องการให้การวิจัยนั้นแก้ไข

กรอบของเรื่องที่จะศึกษาวิจัยจะอยู่ในสาขาเทคโนโลยีใดก็ได้ใน 3 ด้านที่มีศูนย์อยู่ซึ่งกำลังมีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาที่มีความพร้อมทางด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ ตลอดจนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในสาขาเหล่านั้น ซึ่งเป็นบุคลากรที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นผู้ส่งไปศึกษามาจากต่างประเทศ

สวทช. มีทุนด้านการศึกษาด้วยเช่นกัน สนับสนุนการศึกษาต่อทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกภายในประเทศในสาขาวิชาต่าง ๆ ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยไม่มีการผูกมัดให้ต้องทำงานชดใช้เลย ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เข้าทำงานกับบริษัทเอกชนที่เหมาะสม

"ชัดเจนว่า NSTDA สร้างขึ้นมาเพื่อเอกชน เป็นศูนย์แห่งชาติ ระบบงานเน้นการทำงานแบบไตรภาคี คือนักวิจัยไม่ได้ทำงานแค่ในมหาวิทยาลัยหรือห้องเท่านั้น แต่ต้องให้มีโปรดักส์ไปถึงผู้บริโภคได้" ผู้บริหารของ สวทช. กล่าว

ตามหลักการ วัตถุประสงค์ ตลอดจนภาระหน้าที่โดยรวมทั้งหมดดังที่กล่าวมา สวทช. จัดว่าเป็นหน่วยงานราชการที่ค่อนข้างมีลักษณะ "พิเศษ" เป็นมิติใหม่ของหน่วยงานรัฐที่หลุดพ้นจากกรอบและโครงสร้างเดิม ๆ ออกมา มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีการทำงานและขั้นตอนการทำงานที่คล่องตัว

อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าภายใต้การเป็นหน่วยงานสังกัดรัฐ ยังต้องอยู่ใต้กฎระเบียบราชการบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต้องพึ่งพาเงินตากสำนักงบประมาณนั้น สวทช. จะเป็นตัวของตัวเองได้เพียงใด และถึงที่สุดแล้วจะสามารถทำงานได้มากเท่าที่วางไว้หรือไม่ เหล่านี้เป็นข้อสังเกตที่นับว่าท้าทายบรรดาผู้บริหารของ สวทช. ทั้งสิ้น

จนถึงปลายปีนี้ สวทช.ก็จะมีอายุครบ 1 ปี แล้วแม้เวลาที่จะพิสูจน์ตัวเองให้แจ้งชัดจะไม่มีขีดจำกัดแต่การใช้ช่วงเวลาที่นานเกินไปก็ย่อมไม่ก่อผลดีอะไร

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us