เคทีซีเผยผลประกอบการณ์ดีเกินคาด หลังกลับตัวทันเลิกจับลูกค้ารายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ทำให้อัตราการสูญเสียลดลง ประกอบกับรายได้เพิ่มขึ้นเป็นผลจากต้นทุนที่ถูกลง พร้อมสนับสนุนเครดิตบูโรให้มีการจัดทำเครดิตสกอริ่งเชื่อเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าและผู้ประกอบการ
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมานั้นถือว่าทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากเดิมมองว่าการเติบโตในปีนี้จะมีค่อนข้างจำกัด และคาดว่าตัวเลขของผลประกอบการในสิ้นปีนี้จะเติบโตได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยจะเห็นได้จากทุกๆไตรมาสผลประกอบการทั้งในแง่ของกำไรและรายได้เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด
ซึ่งในเบื้องต้นผลคาดว่าประกอบในไตรมาสที่ 3 นี้มีอัตราที่สูงกว่าในไตรมาสที่ 2 ซึ่งส่วนหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายที่เริ่มฟื้นตัว รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งสามารถตอบสนองได้ตรงกับความต้องการและมุ่งเน้นไปยังกลุ่มลูกค้าดี ประกอบกับต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง คาดว่าปีนี้จะมีอัตราส่วนกำไรสุทธิ(net margin)อยู่ที่กว่า 1% ทรงตัวจากปีแล้ว โดยขณะนี้บริษัทมีพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่กว่า 40,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการมุ่งเน้นไปยังลูกค้าดี โดยเฉพาะในส่วนของสินเชื่อบุคคลที่ได้หันมาเจาะกลุ่มลูกค้าที่รายได้ตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเดือนขึ้นยังส่งให้อัตราหนี้ที่ไม่ก่อรายได้(เอ็นพีแอล)ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 5% จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ 10% เนื่องจากบริษัทได้ทำการปรับสกอริ่งในการอนุมัติสินเชื่อบุคคลใหม่ โดยทำการพิจาณาถึงสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ว่าเป็นอย่างไร ทำให้การปล่อยสินเชื่อในระยะหลังมีอัตราการสูญเสียที่ต่ำ จึงทำให้ตัวเลขรายได้มีเพิ่มขึ้น
"สินเชื่อบุคคลให้บริการมา 2 ปี มียอดคงค้างอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และภายในสิ้นปีนี้เชื่อว่ายอดสินเชื่อบุคคลจะเป็น 1 ใน 3 ของสินเชื่อทั้งหมด โดยการทำตลาดของเราในช่วงแรกจะจับลูกค้ารายได้ 7,000 บาทขึ้นไป แต่ตอนนี้พบว่ากลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทเริ่มมีปัญหา ลูกค้ามีภาระหนี้มากขึ้น สร้างหนี้เกินตัว ทำให้เราต้องจัดทำสกอริ่งใหม่ โดยหากมีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้สูงถึง 80% ก็จะไม่อนุมัติสินเชื่อให้ และเลิกจับลูกค้าที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ส่วนอัตราการค้างชำระอยู่ที่ 7% ถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้"นายนิวัตต์ กล่าว
นอกจากนี้ มองว่าธุรกิจสินเชื่อบุคคลยังสามารถจะเติบโตได้กว้างมากกว่าธุรกิจบัตรเครดิต เนื่องจากผู้ที่มีรายได้ที่ 15,000 บาท นั้นเริ่มมีการอิ่มตัวและผู้บริโภคแต่ละรายก็มีการถือบัตรหลายใบอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมองว่าตลาดนี้จะเติบโตได้ยากขึ้น แต่หากต้องการจะเติบโตก็ต้องมีผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งและตรงใจลูกค้าจริง ๆ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มบัตรใหม่อีก 200,000 บัตรซึ่งจะทำได้ตามเป้าหมายแน่นอน
นายนิวัตต์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่าปัญหาหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวกับภาคการเงินและการบริโภคภาคครัวเรือนคือความไม่สามัคคีกันของสถาบันการเงินและภาครัฐ แม้ที่ผ่านมาทางการจะมีการออกมาควบคุมเกี่ยวกับเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและมาตรการอื่นๆ ที่ออกมาดูแลก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาที่ควรให้ความสำคัญตอนนี้และภาครัฐควรจะเข้ามาดูแลส่วนหนึ่งคือ เรื่องของการพัฒนาความเข้าใจของลูกหนี้ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ถือว่ายังไม่ดีพอ
ทั้งนี้ ยังมองว่าการทำตลาดของสถาบันการเงินในขณะนี้เร่งไปยังเรื่องของการปล่อยกู้ง่ายและมุ่งเน้นเกี่ยวกับการเติบโตของสินเชื่อมากกว่าการเน้นที่จะพัฒนาตลาด ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคไม่มีการพัฒนา เพราะสังคมที่ดีมีภาคการบริโภคที่ดีนั้น ผู้บริโภคควรจะมีการมีการพัฒนาเกี่ยวกับวินัยทางการเงิน ไม่กู้เกินความจำเป็น เพราะจะหากไม่มีวงจรเหล่านี้ผู้บริโภคก็จะมีภาระและมีปัญหาเกี่ยวกับการชำระหนี้ ทำให้ในที่สุดผู้บริโภคก็จะเข้าถึงแหล่งเงินในระบบได้ยากขึ้น
สำหรับการมีเครดิตบูโรเพื่อตรวจสอบข้อมูลลูกค้านั้นถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก และหากมีการเปิดให้เครดิตบูโรสามารถทำเครดิตสกอริ่งได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจะทำให้สามารถทราบอันดับเครดิตของลูกค้าแต่ละรายเพื่อให้บริการและคิดอัตราค่าบริการได้อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคมีการแนะนำให้ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น หากลูกค้าไม่ชำระหนี้ก็จะทำให้วงจรการเงินพังทลาย ความน่าเชื่อถือของลูกค้าก็จะหายไป และในการที่เป็นมูลนิธินั้นจริงๆแล้วควรจะต้องเป็นองค์กรที่ส่งเสริมให้ลูกหนี้เป็นคนดี ต้องมองในสิ่งที่สร้างสรรค์
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อจากนี้มองว่าแม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงปลายปีแต่จะยังคงไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองต่อเนื่องไปอีก และในปีหน้ายังคงมีปัจจัยที่น่ากลัวคือเรื่องของราคาน้ำมัน ส่วนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือ 3 เดือนต่อจากนี้และปีหน้าทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในภาวะแบบเดียวกัน ส่วนปีนี้มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีโอกาสปรับลงได้อีก 0.25%
|