ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (2 ต.ค.) ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งด้วยมูลค่าการซื้อขายเกือบ 3 หมื่นล้าน โดยได้รับอานิสงส์จากดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ลง เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสถาบันการเงินหลายแห่งไม่สูงอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ประกอบกับการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าอีกครั้งส่งผลทำให้ดัชนีปิดที่ 853.43 จุด เพิ่มขึ้น 0.96 จุด หรือ 0.11% ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของวันโดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 862.28 จุด มูลค่าการซื้อขาย 28,044.12 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,721.51 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 61.73 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,783.24 ล้านบาท
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาซับไพรม์รวมถึงการคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะต้องพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้มีเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น
ทั้งนี้ เรื่องราคาน้ำมันในตลาดโลกแม้ว่าจะยังอยู่ในระดับสูง แต่การที่ราคาปรับตัวลดลง ทำให้ตลาดหุ้นค่อนข้างแกว่งตัวเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่เดียวกันในช่วงนี้ประเด็นที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนคือ กระแสข่าวการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เนื่องจากยังไม่มีความพร้อม ซึ่งหากต้องเลื่อนออกไปอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาในการลงทุนค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังได้รับข่าวดีเรื่องการเตรียมประกาศผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์งวดไตรมาส 3/50 ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะออกมาดีกว่าช่วงไตรมาส 2/50 ที่ผ่านมาเนื่องจากได้มีการตั้งสำรองหนี้ไว้เกือบครบแล้ว
ห่วงข่าวเลื่อนเลือกตั้งกระทบ
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า นักลงทุนยังคาดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 จากการเลือกตั้งที่น่าจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนธ.ค. ขณะที่ยังได้ปัจจัยหนุนทางจิตวิทยาจากการปรับขึ้นของตลาดหุ้นต่างประเทศ ช่วยขับเคลื่อนให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นได้ต่อ ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มที่มีความเกี่ยวโยงกับอัตราดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ,กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง น่าจะเป็นกลุ่มที่มีแรงเข้ามาเก็งกำไรผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 ต.ค.นี้ สำหรับกรอบความเคลื่อนไหวดัชนีคาดว่าจะมีแนวรับที่ 850 แนวต้านที่ 870 จุด
นางสาวอาภาพร แสวงพรรค ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดเงินลดลง และอาจะจะทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลออกมาลงทุนในตลาดหุ้น และตลาดโภคภัณฑ์มากขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นในแถบภูมิภาคเอเชียต่างปรับตัวขึ้นกันอย่างทั่วหน้า แต่ตลาดหุ้นไทยถูกแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจนทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานซึ่งมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมากจนทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นในหลายประเทศ
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่อาจจะอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยได้ปรับขึ้นมาหลายวันแล้ว โดยแนวรับไว้ที่ 850 จุด แนวต้าน 860, 870 จุด
RRC-ATCโดนกระหน่ำขาย
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC ราคาปิดที่ 24.80 บาท ลดลง 0.95 บาท หรือ 3.69% มูลค่าการซื้อขาย 1,839.60 ล้านบาทและ บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC ราคาปิดที่ 74 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 3.27% มูลค่าการซื้อขาย 1,308.87 ล้านบาท
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ราคาหุ้น ATC และ RRC ที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรงเนื่องจากมีการขายทำกำไรออกมาเพื่อเป็นการสร้างฐานราคาเพราะราคาหุ้นทั้ง 2 บริษัทก่อนหน้านี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยส่วนตัวมองว่าหุ้นทั้ง 2 บริษัทยังมีความน่าสนใจทั้งด้านพื้นฐานและด้านเทคนิค
ทั้งนี้ภายหลังการควบรวมกิจการของทั้ง 2 บริษัทแล้วมูลค่าราคาหุ้นที่เหมาะสมของบริษัทใหม่จะอยู่ที่ 57 บาท ขณะที่ราคาที่เหมาะสมของทั้ง 2 บริษัท โดยหุ้น RRC ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 29 บาท และหุ้น ATC ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 57 บาท
|