|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ ตุลาคม 2550
|
|
การได้ร่วมเดินทางไปกับทัวร์ท่องเที่ยวพิเศษที่จัดขึ้นโดยอาศรมสยาม-จีนวิทยา ร่วมกับ บมจ.ซี.พี. เซเว่น-อีเลฟเว่น ท่องหางโจว-ซูโจว แดนสวรรค์และวัฒนธรรมบนแผ่นดินจีน เมื่อวันที่ 11-15 สิงหาคม ที่ผ่านมานั้น มิใช่ได้เพียงความสุข สนุกสนาน และเบิกบานใจในด้านการท่องเที่ยวและการชอปปิ้งเท่านั้น... แต่เรายังได้สัมผัสซึ่งความรู้ ความเข้าใจ ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความรุ่งเรืองของชาติจีนในอดีต จวบจนยุคปัจจุบัน ที่สามารถใช้แนวทางการจัดการสมัยใหม่ (Modernization) ในประเทศที่เรียกตัวเองว่าสังคมนิยมแบบจีนได้อย่างลงตัว
จนปรากฏหลักฐานหรือมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งสร้างเป็นจุดขายในด้านการท่องเที่ยวของประเทศจีนที่มีมูลค่าปีละนับแสนล้านบาทในปัจจุบัน!
การเดินทาง 5 วันกับ 2 มณฑล และ 1 มหานครเซี่ยงไฮ้! ล้วนมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันแต่สามารถทำให้ทั้งคนจีนและต่างชาติแห่กันมาเที่ยวชมไม่ขาดสาย โดยเฉพาะในช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงที่นักเรียน นักศึกษาของจีนปิดภาคเรียน เราจึงพบเห็นชาวจีนต่างพาครอบครัว ทั้งอาก๋ง อาม่า อาเฮีย อาซ้อ จูงลูกจูงหลานท่องเที่ยวในทุกๆ สถานที่จนดูเนืองแน่นไปด้วยคนจีน
จะว่าไปแล้วสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ นั้น แค่รองรับชาวจีนก็ทำให้ประเทศจีนมีรายได้จากการท่องเที่ยวมหาศาลแล้ว
"คนจีนมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น จึงเริ่มหาความสุขด้วยการท่องเที่ยวเหมือนคนชาติอื่น ที่หางโจวเป็นความใฝ่ฝันของคนจีน เพราะคนจีนและเด็กจีนทุกคนรู้จักและสัมผัส ความงามของทะเลสาบซีหูผ่านบทกวี ที่ว่าบนฟ้ามีสวรรค์ บนดินมีหางโจว ทำให้คนจีนอยากมาเที่ยวที่นี่" ไกด์สว่างเล่าให้ฟัง
บทกวีจีนที่ว่า "บนฟ้ามีสวรรค์ บนดินมีหางโจว" เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) บรรยายให้เห็นทัศนียภาพที่ชวนหลงใหลใคร่มาสัมผัส "สวรรค์บนแดนดิน" แห่งนี้ซึ่งยังได้รับการยืนยันจาก "มาร์โคโปโล" นักเดินทางชื่อก้องโลกชาวอิตาเลียนที่กล่าวชม เมืองหางโจวว่าเป็น "เมืองที่งามที่สุดในโลก"
ที่สำคัญบรรดาฮ่องเต้หลายๆ พระองค์ ขุนนาง ชนชั้นสูง ผู้นำประเทศจีน ล้วนเคย มาสัมผัสที่นี่หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะเหมาเจ๋อตง ประธานาธิบดีคนแรกของจีน มาเที่ยวชมทะเลสาบซีหูถึง 48 ครั้ง จนมีคำกล่าวว่า เหมามีบ้านเกิดอยู่ที่มณฑลหูหนาน บ้านหลังที่ 2 อยู่ที่กรุงปักกิ่ง (สถานที่ทำงาน) และบ้านหลังที่ 3 อยู่ที่เมืองหางโจว ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อน
ขณะที่โจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีน มาถึง 42 ครั้ง ยังมีเติ้งเสี่ยวผิง, เจียงเจ๋อหมิน และหูจิ่นเทา ประธานาธิบดีคนที่ 6 ของจีน เป็นต้น
หางโจว เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ๋อเจียง อยู่ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้เพียง 180 กิโลเมตร ถือเป็นเมืองเก่าแก่ 1 ใน 7 ของประเทศจีน ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานถึง 2,200 ปี ปัจจุบันหางโจวถือเป็นเมืองที่อยู่ในเขตภาคตะวันออกที่ได้รับการพัฒนาสูงสุดและสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้ประเทศจีนสูง
จุดเด่นที่สุดของเมืองหางโจวยังคงเป็น ทะเสสาบซีหู (West Lake) ที่สามด้านล้อมรอบด้วยภูเขา อีกด้านติดกับเมือง และน้ำในทะเลสาบใสสะอาด งดงาม มีเกาะน้อยใหญ่ โดยมีเขื่อนไป๋ และเขื่อนซูที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งกลายเป็นถนนเชื่อมทะเลสาบจากแนวเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตกเข้าด้วยกัน และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวเดินชมดอกไม้หลากสีตามฤดูกาล โดยเฉพาะต้นหลิวที่ระย้อยลงมาดูสวยงามมากและดอกโบตั๋น รวมไปถึงต้นไม้สีเขียวอื่นที่สามารถมองแสงสะท้อนของน้ำในทะเลสาบและภูเขาที่ห่างไกลออกไป
และที่นี่ยังเป็นสถานที่พบกันของนางพญางูขาวและสวี่เซียนในเทพนิยาย "นางพญางูขาว" ที่รู้จักกันทั่วไปของจีนและในตำนานหนังจีนกำลังภายในที่ขายในประเทศไทย
แต่กิจกรรมที่จะขาดไม่ได้ก็คือ การล่องเรือชมความสวยงามของทะเลสาบซีหู ซึ่งทำให้เราเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบแล้วยังได้ชมโคมไฟ 3 ดวง ทับแสงจันทร์น้ำลึกอยู่กลางทะเลสาบที่มีพื้นที่ถึง 5.6 ตารางกิโลเมตร
กล่าวกันว่าในคืนพระจันทร์เต็มดวง ที่ซีหูจะเห็นพระจันทร์ 32 ดวง สวยงามมาก จากโคมไฟกลางทะเลสาบ 3 โคม แต่ละโคม มี 5 ช่อง เมื่อเปิดโคมไฟจะมีแสงสะท้อนของน้ำ โคมละ 5 ดวง รวมกับไฟในโคมอีก 5 เป็น 10 ดวงต่อโคม ดังนั้นเมื่อมีโคมไฟ 3 โคม จึงมีจันทร์ 30 ดวง และจากเงาพระจันทร์สะท้อนกับน้ำอีก 1 ดวง รวมจันทร์บนฟ้า ก็ครบ 32 ดวง
แต่ถ้าใครอยากเห็นภาพโคมไฟ 3 ดวง ด้วยวิธีง่ายๆ ก็เลือกที่จะไปแลกแบงก์ 1 หยวน ของจีนมาเก็บไว้เป็นของที่ระลึกก็ได้
"สุสานงักฮุย" สะท้อนความดี-ชั่ว ทุกยุคสมัย
จากนั้นไปสัมผัสสุสานวีรบุรุษงักฮุย ที่นี่อาจทำให้เราได้คติพจน์ที่ใช้สอนลูกสอนหลานซึ่งเป็นที่นิยมของคนจีนทุกยุคทุกสมัย
สุสานวีรบุรุษงักฮุยตั้งอยู่มุมหนึ่งของทะเลสาบเยวี่ย ใกล้ๆ กับทะเลสาบซีหู มีลักษณะคล้ายศาลเจ้าแบบโบราณ ใช้เป็นที่รำลึกและสักการะแม่ทัพ "งักฮุย" ผู้รักชาติยิ่งกว่าชีวิตตนเองในยุคราชวงศ์ซ่ง ซึ่งได้รับการยกสถานภาพเป็นโบราณสถานที่สำคัญของประเทศจีน
สุสานแห่งนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือส่วนที่เป็นศาลเจ้าไว้สำหรับสักการะ ซึ่งบริเวณนี้จะมีภาพเขียนที่ล้วนแต่เป็นคำสั่งสอนและเสียสละถึงความรักชาติของงักฮุย
อีกส่วนเป็นที่ตั้งของสุสาน บริเวณด้านหน้าประตูสุสานจะมีรูปปั้น 4 บุคคล (ฉินกุ้ย, ภรรยา, ผู้พิพากษา และรองแม่ทัพของงักฮุยที่ร่วมกันใส่ร้ายงักฮุย) ในท่านั่งคุกเข่าอยู่หน้าสุสานแห่งนี้ หลังจากบุคคลเหล่านี้สิ้นอำนาจลง พวกชาวบ้านจึงสร้างรูปปั้นขึ้น เพื่อประจานถึงความชั่วในครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งหากผู้ใดมาเยือนต่างเขกศีรษะและถ่มน้ำลายรดรูปปั้นทั้ง 4 นี้ทุกครั้งไป
ว่าไปแล้วการมาเที่ยวชมสุสานแห่งนี้สะท้อนหลักคิดตามปรัชญาขงจื๊อที่ชี้ให้เห็นมนุษย์ ควรมี 3 อมตะ คือ 1 คุณธรรมอมตะ เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนสามารถกระทำได้ 2 ผลงานอมตะ ปรากฏให้เห็นจากงานเขียน ภาพเขียน หรือวรรณกรรม และ 3 วาจาอมตะ ซึ่งเป็นคำสั่งสอนที่ยึดถือกันตลอดมา
ดั่งคำสอนที่แม่ของแม่ทัพงักฮุยได้สลักข้อความไว้ที่หลังของงักฮุยว่า "กตัญญูสนองคุณชาติ-ตอบแทนประเทศชาติ" และรูปปั้นบริเวณประตูสุสานที่ถูกเขกศีรษะและถ่มน้ำลายรดนั้น เปรียบเสมือนคำสอนที่ว่า "ความชั่ว-ความดี" ถึงตายไปก็แยกออกเหมือนกับน้ำแข็งกับถ่านซึ่งเป็นสีขาวกับสีดำ
"เมืองจำลองราชวงศ์ซ่ง" ความยิ่งใหญ่ของชาติจีน
อีกจุดหนึ่งที่สร้างความประทับใจก็คือ เมืองจำลองราชวงศ์ซ่ง สร้างเมื่อปี 1999 แล้ว เสร็จในปี 2001 ใช้งบก่อสร้างกว่า 60 ล้านหยวน ถือเป็นจุดขายในด้านการท่องเที่ยวที่เน้นให้เห็นถึงการจัดการสมัยใหม่ ที่บ่งชี้ถึงความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนแต่ยาวนาน ทั้งการจำลองบรรยากาศและสิ่งก่อสร้างเลียนแบบสมัยราชวงศ์ซ่ง ส่วนผู้เที่ยวชมหากต้องการแต่งกายสมัยราชวงศ์ซ่งและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก็มีชุดให้เช่าอยู่หลายร้าน สนนราคาก็อยู่ที่การต่อราคากันเอง
รวมไปถึงการโชว์ศิลปะการต่อสู้ตามแบบฉบับของจีน และกายกรรมบริเวณลานกลางแจ้ง เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีมาก เสียงปรบมือดังสนั่นทุกครั้งที่โชว์จบ หรือมีจุดที่ตื่นเต้นหวาดเสียวในระหว่างโชว์
ที่น่าประทับใจสุดก็คือ การแสดงโชว์วัฒนธรรมสมัยซ่งในหอประชุมจุคนได้กว่า 1,500 คน ยิ่งใหญ่ตระการตาสมกับคำเชิญชวนที่เขียนเป็นอักษรจีนไว้ว่า "เวลาของเรา 1 วันคืน เท่ากับเราคืนให้ 1 พันปี”
"คนจีนภูมิใจกับการแสดงครั้งนี้มาก เพราะได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของชาติจีนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีการใช้เทคนิคชั้นสูงมาจัดสร้างซึ่งไม่แพ้มหา อำนาจอื่น แม้แต่คนต่าง ชาติที่เข้ามาดูก็จะชื่นชม เมื่อคนจีนฟังแล้วก็ภูมิใจ" ไกด์สว่างบอกด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ
โชว์ครั้งนี้เป็นการเล่าเรื่องตั้งแต่ยุคโบราณสมัยชนเผ่าไป่เย่ว์ที่พูดภาษาตระกูลไท โดยยุคนั้นเริ่มมีความเจริญแล้ว ยุคต่อมาก็เริ่ม มีชนเผ่าต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องและมีการต่อสู้ เกิดขึ้น จนเข้าสู่ยุคฮ่องเต้จีนมีความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติ พร้อมฉากตำนานรักนางพญา งูขาว กระทั่งถึงยุคหางโจวปัจจุบันที่มีความ เจริญ ความงามตามธรรมชาติ และแหล่งศิลปวัฒนธรรม เป็นจุดขายสำคัญที่สามารถดึงดูดให้คนจีนและคนต่างชาติมาเที่ยวหางโจว ได้
โชว์นี้นอกจากจะมีความสวยงามและยิ่งใหญ่ในเรื่องฉากและการแต่งตัวแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่อลังการ ที่สุด ทั้งในเรื่องแสง สี และเสียง ทำให้ดูตื่นเต้นและชวนติดตามในทุกๆ ฉาก โดยเฉพาะ ฉากการต่อสู้ระหว่างนางพญางูขาวกับหลวงจีนนั้น เสมือนหนึ่งเรานั่งอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ มีการสร้างฉากให้เห็นการต่อสู้จนแบบข้ามวัน ข้ามคืนทำให้เกิดแผ่นดินแยก น้ำทะลักสายน้ำกระเซ็นใส่ผู้ชมที่นั่งอยู่ในโรงละครให้เย็นชุ่มฉ่ำตามๆ กัน
ส่วนฉากเคลื่อนพลต่อสู้ทำศึกสงคราม กัน ยิ่งทำให้หลายๆ คนต้องตะลึงเพราะผู้แสดงได้ผุดจากจุดต่างๆ ที่ผู้ชมนั่งอยู่ และ ยังมีฉากที่ทหารควบม้าเข้าทำศึกสงคราม พร้อมเสียงเทคนิคดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนอยู่ในสนามรบจริงๆ...! ท่องเมืองเวนิสตะวันออกของจีน
ได้เวลาอำลาเมืองหางโจว เพื่อเดินทาง สู่เมืองซูโจว มณฑลเจียงซู ที่มีความงามไม่แพ้กัน ซึ่งระหว่างเดินทางนอกจากจะเห็นวิวทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ 2 ฝั่งถนนแล้ว ยังเห็นวิถีชีวิตของคนจีนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ยังคงทำเกษตรกรรมปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และทำนา แต่บางครอบครัวได้ผันตัวเองมาสู่ธุรกิจ SME ผลิตสินค้าโอทอปแบบบ้านเรา
ที่น่าสนใจก็คือบ้านเรือน ที่นั่นจะมีลักษณะแบบทาวน์โฮม 2-3 ชั้นและมีรูปแบบที่คล้ายกันจะต่างก็ตรงสีของบ้าน ซึ่งได้รับการบอกเล่าจากไกด์ชาวจีนว่า คนจีนภูมิใจใน ความสำเร็จของหอทีวีไข่มุกที่เซี่ยงไฮ้มาก จึงนิยมสร้างบ้านเรือนให้ออกมาคล้ายสัญลักษณ์ของหอทีวีไข่มุก
เมืองซูโจวสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ 514 ปีก่อน ปัจจุบันนับเป็นเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ของมณฑลเจียงซู และได้รับการขนานนามว่าเป็น "เวนิสตะวันออก" เนื่องเพราะสภาพ แวดล้อมของเมืองเต็มไปด้วยแม่น้ำ ลำธารน้อย และสะพานเล็กๆ พร้อมสวนสวยมาก มาย โดยคนซูโจวนิยมปลูกบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ
อีกทั้งที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมทางประวัติ ศาสตร์และวัฒนธรรมของพื้นที่แถบตะวันออก โดยเฉพาะมีชื่อเสียงในเรื่องการจัดสวนที่สวยงามจนได้ชื่อว่าเป็น "เมืองแห่งสวน" ที่โด่งดังไปทั่วโลก
กล่าวกันว่ายุคที่รุ่งเรืองที่สุดของสวนซูโจว สวนในจวนเจ้านายชั้นสูง ขันทีและมหาเศรษฐีมีอยู่กว่า 280 แห่ง แต่ปัจจุบันสวนที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ใกล้เคียงยุคสมัยโบราณ และมีชื่อเสียงอยู่ราว 10 แห่ง เช่นสวนชางลั่งถิง สร้างขึ้นในสมัยซ่ง สวนป่าซือจึหลิน หรือสวนป่าสิงโตในสมัยราชวงศ์หยวน สวนจัวเจิ้งหยวน ในสมัยราชวงศ์หมิง สวนหลิวหยวนและสวนอี๋หยวน ในสมัย ราชวงศ์ชิง และด้วยความงามที่ลือชื่อทำให้สวนซูโจวได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ตะลึงเจดีย์อิฐกว่าพันปีบนเขาหู่ชิว
ภูเขาเนินเสือ (หู่ชิว) เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่กลายเป็นจุดขายให้กับเมืองซูโจว เพราะที่นี่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ชวนติดตามค้นหา ดังกวีเอก ซูตงปอ ได้กล่าวไว้
"การเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองซูโจว โดยไม่ได้ไปเที่ยวภูเขาเนินเสือ ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย!"
ความแปลกและชวนติดตามของที่นี่เริ่มตั้งแต่สิ่งก่อสร้างเพราะโดยทั่วไปอาคารต่างๆ ของจีน จะสร้างอยู่ในหุบเขาลึก แต่ที่เนินเสือกลับเป็นการสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ คร่อมภูเขา ส่วนบรรยากาศที่นี่ยังคงมีความเป็นธรรมชาติให้พบเห็น
แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปเที่ยวชมภูเขาเนินเสือนั้น อยากจะบอกให้นักท่องเที่ยวที่กำลังจะไปทำใจไว้ก่อน เพราะเราจะได้สัมผัส กับกลิ่นอายความเป็นเมืองจีนในอดีตที่หลายต่อหลายคนไม่อยากจะไปเที่ยวเมืองจีนเพราะ กลัวปัญหาเรื่องส้วม! ซึ่งทันทีที่เราก้าวเข้าประตูบริเวณแห่งนี้ กลิ่นเหม็นของห้องน้ำที่ตั้งอยู่บนเนินเขาด้านขวามือก็โชยเหม็นตลบอบอวลจนแถบจะอาเจียน จึงต้องรีบควานหายาดมเพื่อมาสูดดมแทน และต้องรีบเดินหนีจากบริเวณตรงประตูเพื่อผ่านเข้าไปจุดอื่น
ภูเขาเนินเสือมีอายุราว 2,500 ปี สถานที่ภายในแต่ละแห่งมีทัศนียภาพและความงามไม่แพ้กัน ในส่วนของพระราชวังต้วนเหลียง สร้างขึ้นในปี 1338 หรือบ่อน้ำพุที่มีชื่อว่า ฮันฮัน ซึ่งเป็นชื่อของภิกษุรูปหนึ่งในสมัยราชวงศ์เหลียงของจีน เล่ากันว่าท่านเป็นพระกำพร้าที่ตาบอดทั้งสองข้าง ออกบวช ตั้งแต่เยาว์วัย ฝึกตนด้วยการแบกน้ำไว้ใช้ในวัด มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดสะดุดตะไคร่น้ำและลื่นล้มลงในบริเวณดังกล่าว ท่านคิดว่าหากในบ่อมีตะไคร่น้ำ แสดงว่ามีความชื้น หรือไม่ก็อาจเป็นบ่อน้ำแร่ก็เป็นได้
จากนั้นจึงเอาคานหาบกวาดลงไปในบ่อในที่สุดก็พบกับบ่อน้ำพุและนำน้ำที่มีอยู่ในบ่อมาล้างตา ดวงตาก็สามารถมองเห็นได้เช่นคนทั่วไป นับแต่นั้นมาบ่อแห่งนี้จึงมีชื่อว่า "บ่อฮันฮัน"
แต่จุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องหยุดถ่ายภาพ คือบริเวณบ่อดาบที่มีอักษรสลักคำว่า "เจี้ยนฉือหู่ชิว" (บ่อดาบแห่งภูเขาเนินเสือ) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีพลังของผู้สลักอักษร และยังเป็นสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของการมาเยือนภูเขาเนินเสืออีกอย่างหนึ่ง เล่ากันว่าอักษรจีนทั้ง 4 ตัวนี้ เป็นฝีมือของนักเขียนพู่กัน ที่ชื่อเหยียนเจินชิง
แต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาหลายร้อยปี อักษรคำว่าหู่ชิวจึงเลือนหายไปกระทั่งรัชศกว่านลี่ ในยุคราชวงศ์หมิงราว ค.ศ.1614 จางจงอวี้นักแกะสลักชื่อดังของจีนอีกท่านหนึ่ง จึงแกะสลักอักษร 2 ตัวที่เลือนหายเพิ่มเติม ที่น่าแปลกก็คือ เขาสามารถสลักได้อย่างเป็นท่วงทำนองเช่นเดียวกับการสลักครั้งแรก จนไม่สามารถแยกออกว่าเป็นการแกะสลักของคน 2 คน
ผ่านจุดนี้ไปแล้วเดินไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ จะมีจุดพักให้เราได้ถ่ายรูปไว้อยู่หลายแห่ง จนไปถึงบนยอดเขาเนินเสือจะมีสิ่งก่อสร้างในสมัย ค.ศ.961 เป็นเจดีย์อิฐ (เจดีย์หู่ชิว) 8 ด้านที่มีความสูง 7 ชั้นขึ้น เจดีย์นี้มีลักษณะ เอียงจากศูนย์กลาง 2.34 เมตร เป็นจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
เจดีย์หู่ชิวเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เกิดจากการนำอิฐมาสร้างเลียนแบบโครงไม้ทั้งหลัง มีผู้ตั้งคำถามขึ้นว่า เหตุใดสิ่งปลูกสร้างที่ทำด้วยอิฐจึงสามารถตั้งตระหง่านโดยไม่ล้มนานนับพันปี ต่อมาในปี ค.ศ.1956 ระหว่างการบูรณะเจดีย์ คนงานก่อสร้างพบว่าด้านใน เจดีย์มีตะปูไม้จำนวนมากซ่อนอยู่ ผู้เชี่ยวชาญ ต่างลงความเห็นว่าตะปูไม้เหล่านี้ใช้เสียบอยู่ระหว่างช่องว่างของอิฐแต่ละก้อน จากนั้นจึงมัดให้แน่นด้วยป่านเส้นละเอียด แล้วจึงเคลือบ ด้วยกาวอีกชั้นหนึ่ง ทำให้ส่วนประกอบของโครงสร้างกำแพงเชื่อมต่อเป็นแผ่นเดียวกันได้อย่างแน่นหนา
จากนั้นเราจะเดินลงจากเจดีย์หู่ชิว ซึ่งเป็นคนละด้านกับที่เราเข้ามาโดยทางเข้าจะพบบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมลำธาร มีสะพานเชื่อมต่อมายังภูเขาเนินเสือ ส่วนทางออกอีกด้านจะพบความสวยงามของต้นไม้สูงๆ ที่มีความอุดมสมบูรณ์และการจัดแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนได้อย่างลงตัว
นอกจากทัศนียภาพที่สวยงามของเนินเสือแล้วยังเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งของประเทศจีน โดยเมื่อ 514 ปี ก่อน ค.ศ. ขณะที่เข๋อหลู่ อ๋องแห่งแคว้นอู๋สร้างเมืองใหม่ขึ้นบริเวณซูโจวในปัจจุบัน ตรง กับช่วงชุนชิว ซึ่งบ้านเมืองแบ่งออกเป็นแคว้น น้อยใหญ่ มีการแก่งแย่งอำนาจและแย่งชิงความเป็นใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ขณะนั้นบ้านเมืองอยู่ในยุคสัมฤทธิ์ แต่แคว้นอู๋กลับเป็นอาณาจักรที่มีชื่อเสียงในด้านการหลอมเหล็กให้เป็นดาบได้ โดยมีช่างตีดาบที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น โอวจื้อจื่อ กานเจี้ยง หมัวซา ฯลฯ โดย 496 ปีก่อน ค.ศ. แคว้นอู๋ประกาศสงครามกับแคว้นเยวี่ย ผู้นำแคว้นอู๋ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตกลางทาง จึงได้สร้างสุสานรำลึกถึงผู้นำอันเป็นที่รักยิ่ง อาณาจักรแห่งนี้จึงเกณฑ์ แรงงานกว่าแสนคนในการสร้างและได้มีการฝังดาบจำนวน 3 พันเล่มลงในหลุมฝังศพด้วย และเพื่อรักษาความลับของสุสานแห่งนี้ จึงมีการปล่อยข่าวหลังจากการตายของอ๋องอู๋ว่า มีเสือขาวตัวหนึ่งหมอบอยู่บนภูเขาไหหย่งเล่ากันว่าเกิดจากบารมีของอ๋องผู้นี้ นับแต่นั้น มา สถานที่แห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่าภูเขาเนินเสือ
"โจวจวง" เวนิสแห่งประเทศจีน
โจวจวงเป็นหมู่บ้านกลางน้ำ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดของมณฑลเจียงซู โดยได้รับการยกย่องจากองค์กรยูเนสโก ให้เป็นมรดกโลก และยังได้รับการเรียกขานว่าเป็น "เวนิสแห่งประเทศจีน" ซึ่งยังคงความ งามอยู่ตรงที่เป็นแหล่งรวมทัศนียภาพของเมืองแห่งสายน้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้เวลา ผ่านไปเป็นพันปี เรายังเห็นบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ริมคลองที่หลงเหลืออยู่นั้นกว่าร้อยละ 60 ยังคงเป็นสถาปัตยกรรมแบบราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง
อีกทั้งยังมีสะพานหินโบราณรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่หมู่บ้านแห่งนี้ ที่สร้างขึ้นในราชวงศ์หยวน หมิง และชิง กว่า 30 สะพาน ปัจจุบันเหลือเพียง 14 สะพาน ได้แก่ สะพานทุยซวง สะพานฟู่อาน สะพานเจินฟง สะพานฝูหง เป็นต้น
และในบริเวณหมู่บ้านแห่งนี้เราไม่ควร พลาดที่จะเข้าไปเยี่ยมชมบ้านเจ้าสัว "เสิ่นว่านซาน" ตั้งอยู่บนถนนหนาน ใกล้ๆ กับสะพาน ฟู่อาน ซึ่งภายในมีภาพสลักที่เล่าถึงชีวิตของเสิ่นว่านซานตั้งแต่เป็นคหบดีร่ำรวยและถูกเนรเทศ เพราะความหยิ่งยโสของตัวเขาเอง ซึ่งระหว่างเดินดูภาพแห่งนี้พร้อมฟังการเล่าเรื่องของไกด์ และการอ่านข้อความที่เขียนอยู่ บริเวณนั้นของผู้รู้ที่อ่านภาษาจีนได้ในคณะทัวร์กรุ๊ปนี้ทำให้แต่ละคนมีจินตนาการเปรียบ เทียบเสิ่นว่านซานในเมืองไทยจะเป็นใครก็ขึ้นอยู่กับการแปรข้อความที่เล่าต่อกันมา
เสิ่นว่านซาน เป็นมหาเศรษฐีแถบเจียง หนานในช่วงต้นราชวงศ์หมิง ภูมิลำเนาเดิมเป็นคนเหนานสวินเมืองหูโจว มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในโจวจวง ซูโจว นานกิง และ ยูนนาน แต่ได้วางรากฐานไว้ที่เมืองโจวจวงซึ่งแม้เขาจะได้รับการเชื้อเชิญจากจางซื่อเฉิงและจูหยวนจางให้เดินทางไปพำนักยังเมืองหลวง แต่เขาก็ไม่ยอมละทิ้งสถานที่แห่งนี้
มีการเล่าถึง 3 สาเหตุที่ทำให้เขามีทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลประกอบด้วย 1. การบุกเบิกที่ดินรกร้างเพื่อทำการเพาะปลูก 2. การแบ่งทรัพย์สมบัติของครอบครัว 3. การค้าขายกับต่างชาติ
ด้วยความร่ำรวยบวกกับความเป็นผู้ที่มีนิสัยหยิ่งยโสไม่ยอมคนของเขา ทำให้จูหยวนจางถึงกับออกคำสั่งที่มีผลต่อความมั่งคั่งของเขาถึง 3 ครั้ง ส่งผลให้ฐานะทาง การเงินของเขาสั่นคลอน หรือกลายเป็นเทวดาตกสวรรค์อย่างรวดเร็ว
แต่ในช่วงที่มีฐานะมั่งคั่งเขาได้สร้างคฤหาสน์หลายแห่งในเมืองต่างๆ ดังเช่น คฤหาสน์ตระกูลเสิ่นในเมืองโจวจวงที่เรากำลังเยี่ยมชมนั้น สร้างขึ้นในรัชศกเฉียนหลง ที่ 7 แห่งราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1742) มีห้องจำนวน 100 กว่าห้อง แต่ละห้องมีความยาว 100 เมตร กินอาณาบริเวณกว่า 2 พันตารางเมตร
ในการเที่ยวชมหมู่บ้านพันปีโจวจวง เราสามารถนั่งสามล้อปั่นที่จอดอยู่ด้านหน้าเที่ยวชมเมืองเก่าสุดคลาสสิกแห่งนี้ได้ แต่หาก จะได้อรรถรสว่าได้มาหมู่บ้านแห่งนี้จริงๆ จะ ต้องล่องเรือชมวิวทิวทัศน์และวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ได้ ซึ่งเรือบางลำคนแจวเรือชาวจีน จะร้องเพลงไปด้วย ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างใจจดใจจ่อกับการถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
ส่วนของฝากที่ลือชื่อของเมืองโจวจวง ก็คือขาหมูโจวจวง ที่เราสามารถซื้อกลับมาเป็นของฝากได้ แต่เพื่อไม่ให้ผิดหวัง ให้ดูวันผลิตและวันหมดอายุก่อน เพราะบางคนที่อุตส่าห์หอบหิ้วแต่ไปซื้อสินค้าที่หมดอายุก็ทำให้เสียอารมณ์ได้
ชอปปิ้ง "เซี่ยงไฮ้" ยอดฮิตของคนไทย
หลังจากท่องเที่ยวสวรรค์บนดินและเมืองสวนสวยได้อย่างเพลิดเพลินแล้ว ก็กลับเข้าสู่มหานครเซี่ยงไฮ้ เที่ยวชมบริเวณหาดไว่ทาน (Waitan) สถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุด ตั้งอยู่บนถนนจงซาน ซึ่งเป็นถนนกว้างที่โค้งไป ตามริมแม่น้ำหวงผู่ และเป็นสถานที่ทั้งคนจีน คนต่างชาตินิยมมาเดินเล่นทอดน่องชมบรรยากาศของเซี่ยงไฮ้ในเวลาค่ำคืน
พร้อมๆ กับแก๊งมิจฉาชีพที่ยังคงเดิน ปะปนกันไป เพื่อหาโอกาสล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยวก็ยังมีให้เห็นเต็ม 2 ตา
ขณะเดียวกันก็จะมีการล่องเรือ เพื่อชมวิวทิวทัศน์ของเซี่ยงไฮ้ ด้านหนึ่งจะเป็นตึกสูงในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ที่ล้วนแต่ประดับไฟสวยงามตระการตาและยิ่งมองไปที่หอทีวีไข่มุก (The Oriental Pearl TV Tower) ซึ่งเป็นหอส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ สูง 468 เมตร ก็ยิ่งเพิ่มความสวยงามให้กับเซี่ยงไฮ้
สุดท้ายของการท่องเที่ยวในจีน ก็ขอจบที่การชอปปิ้งใน 2 แห่ง คือที่ถนนนานกิง (Nanjing) ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้ามากมาย และถือเป็นย่านสวรรค์ของบรรดาสาวกสินค้าแบรนด์เนมทั่วโลกรวมไปถึงแบรนด์ จีน ซึ่งเป็นที่นิยมของเหล่าวัยรุ่นจีนขณะนี้
แต่ถ้าใครชอบซื้อสินค้าแบรนด์เนมแต่เป็นของก๊อบปี้ที่ถนนนานกิง อาจจะไม่สะดวกเท่ากับที่ย่านตลาดหลงหวา ซึ่งสามารถ เลือกซื้อได้ง่าย เพราะที่นี่จะเหมือนกับตลาดเซี่ยงหยางเดิมซึ่งเป็นตลาดกลางแจ้งขนาดใหญ่คล้ายตลาดจตุจักรบ้านเราที่ปิดตัวไปแล้ว
ที่ตลาดหลงหวาจะขายสินค้าบนอาคาร เหมือนกับที่แพลทินัม หรือที่ตึกใบหยกของบ้านเรา ส่วนการซื้อสินค้าที่นี่ต้องกล้าต่อราคา แบบสุดๆ คือต่อให้เหลือประมาณ 20-30% ค่อยตัดสินใจซื้อ และถ้าราคายังตกลงกันไม่ได้ เราเดินออกจากร้าน หากคนขายเรียกเรากลับ มาแล้วบอกว่า OK นั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาให้ตามราคาที่เราต่อนะ แต่ต้องมาเริ่มนับหนึ่งต่อกันใหม่ ซึ่งทุกๆ ร้านจะมีพฤติกรรม แบบเดียวกัน
ดังนั้นหากมาเที่ยวเซี่ยงไฮ้ อยากได้สินค้าจีนที่ดีและมีราคาถูก จึงหาได้ไม่ยากที่ตลาดหลงหวา แต่ต้องใจกล้าต่อกันสุดๆไปเลย!
|
|
|
|
|