|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ถึงชั่วโมงนี้เครื่องยนต์ของพรรคประชาราช ได้เดินเครื่องวิ่งบนถนนสายการเมืองอย่างเต็มสูบ เพื่อลุยศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นี้ โดยล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2550 พรรคประชาราชได้เปิดกว้างให้นักวิชาการอิสระที่มีดีกรีระดับดอกเตอร์จากสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วไปจำนวน 40 คน ซึ่งบรรดานักวิชาการอิสระดับอาจารย์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย ได้ระดมความคิดชนิด "ชำแหละ" นโยบายพรรคออกมาเป็นชิ้น ๆ ผ่านเวที "วิพากษ์สาธารณะ นโยบายพรรคประชาราชกับความคาดหวังของประชาชน" ที่เพิ่งคลอดออกมาสด ๆ ร้อน ๆ จำนวน 39 ข้อ
โดยภาพรวมนักวิชาการอิสระระดับด็อกเตอร์ มีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันเกี่ยวกับประเด็นของนโยบายพรรคประชาราช ถือว่าเป็นนโยบายที่ "โดนใจของประชาชน" โดยเฉพาะนโยบายที่จะช่วยปัดเป่าความทุกข์ยากของประชาชนทั่วแผ่นดินให้เกิดความอยู่ดีมีสุข แต่มีบางนโยบายบางข้อที่ต้องนำไปปรับปรุงและแก้ไขให้ "ตกผลึก" เพื่อให้เปิดประโยชน์สูงสุดต่อการนำนโยบายไปปฎิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
"ป๋าเหนาะ"เร่งปัดเป่า.. ความทุกข์ยากประชาชน
"เสนาะ เทียนทอง" ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาราชและเจ้าของฉายา "ผู้ปั้นนายกรัฐมนตรีถึงสามคน" เปิดอกให้เห็นกันจะจะว่า พรรคประชาราชแจ้งเกิดขึ้นมาท่ามกลางวิกฤติปัญหาของบ้านเมือง จึงตระหนักดีว่า การนำพาประเทศเดินหน้าไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ถือว่าเป็น"ปณิธานสูงสุด" ตามที่พรรคตั้งความหวังเอาไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันนโยบายสำคัญ ๆ ของพรรคตาม "แผนปฎิบัติการตามนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่สำคัญ ทั้ง 38 ข้อ" เพื่อให้ถึงมือพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ทั้งนี้มีเป้าหมายให้พวกเขาอยู่ดีมีสุขและให้สามารถดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
สิ่งสำคัญที่สุดของพรรคประชาราชที่จะดำเนินการทันที " ไม่ใช่การเขียนนโยบายให้สวยหรู ซึ่งในความจริงการเขียนนโยบายให้สวยหรูอย่างไรก็ได้ แต่หัวใจสำคัญของนโยบายพรรคประชาราช จะต้องนำไปปฎิบัติได้จริง เพื่อเป็นการปัดเป่าความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน" จึงมีการเปิดกว้างให้นักวิชาการอิสระผู้มีทั้งคุณวุฒิระดับด็อกเตอร์และมีประสบการณ์อย่างหลากหลาย เพื่อรับฟังความจริงในการวิพากษ์สาธารณะนโยบายของพรรค ทั้งนี้เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข ก่อนที่จะนำไปปฏิบัติให้ถึงมือพี่น้องประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
"ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งข้าวคุณภาพออกไปค้าขายในต่างประเทศมากที่สุดในโลก แต่คนไทยส่วนใหญ่ที่เป็นเกษตรกรหรือชาวนา กลับจนที่สุดในประเทศไทย ดังนั้นพรรคประชาราชจึงจะเข้าไปดำเนินการแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนเป็นอันดับแรกสุด เพื่อแก้ปัญหาความยากชนของชาวนาไทย" หัวหน้าพรรคประชาราชกล่าวทิ้งท้ายด้วยความมั่นใจ
"ประชัย"ใช้ประสบการณ์แสนล้าน เดินหน้าพลิกวิกฤติชีวิตใหม่คนไทย
ถึงวินาทีนี้ "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" นักธุรกิจระดับแสนล้านและในฐานะประธานคณะผู้บริหารพรรค กล้าเปิดอกและยอมรับว่า มีความพร้อมในการเดินหน้าผลักดันนโยบายสำคัญ ๆ ของพรรคประชาราชตาม "แผนปฎิบัติการตามนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่สำคัญ" รวมทั้งหมด 38 ข้อ เนื่องจากพรรคมีบุคลากรที่มีประสบการณ์ในการบริหารงาน ทั้งทางด้านการเงิน การคลังและการปกครองประเทศชนิด "คับแก้ว" ทุกคน
"สิ่งสำคัญในการเปิดวิพากษ์สาธารณะนโยบายพรรคในวันนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่ทั้งหัวหน้าพรรคและนักวิชาการอิสระที่มีคุณวุฒิทางการศึกษาระดับด็อกเตอร์กว่า 40 ท่านและมีประสบการณ์อันหลากลาย มาช่วยเป็น "กระจกส่องเงา"ของพวกเรา และยังเป็นการร่วมกันใช้สติปัญญาและความชำนาญจากประสบการณ์ในการทดแทนบุญคุณของแผ่นดิน" ประธานผู้บริหารพรรคประชาราชเปิดฉากเรียกน้ำย่อย
ก่อนจะฉายวิชันในการพลิกวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยจะใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมในแวดวงธุรกิจระดับแสนล้านและยาวนานกว่า 40 ปี เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหารชาติบ้านเมือง โดยออกตัวก่อนว่า "ถ้าผมไม่เล่นการเมืองชีวิตผมก็สบายอยู่แล้ว แต่วันนี้ได้รับคำเชิญจากท่านหัวหน้าพรรค(เสนาะ เทียนทอง)ให้มาร่วมงานทางการเมือง เพื่อผลักดันนโยบายของพรรคประชาราชให้ถึงมือคนไทยอย่างแท้จริง โดยยึดหลักการสำคัญที่ว่า "จะปกครองคนไทย เพื่อคนไทย ไม่ใช่ปกครองคนไทยเพื่อประเทศใดประเทศหนึ่ง" ทั้งนี้เพื่อนำพาคนไทยทั้งชาติหลุดพ้นความยากจนให้ได้
สิ่งที่พรรคจะเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วนก็คือ จะเน้นให้ "ประชาชน รวยกระจายไปทั่วประเทศ" ให้ประชาชนมีรายได้ดีขึ้นอย่างทั่วถึง ซึ่งต่างจากนโยบายของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่เน้นนโยบาย "รวยกระจุก แต่จนกระจายไปทั่วประเทศ" หรือเข้าทำนอง มีการผูกขาดความมั่งคั่งและร่ำรวยของกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวหรือคนเพียงตระกูลเดียว ซึ่งไม่ใช่นโยบายของพรรคประชาราชแน่นอน
"ผมจะใช้ประสบการณ์จากการทำธุรกิจระดับแสนล้านมายาวนานกว่า 40 ปี เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ให้แก่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศให้มากที่สุด โดยนโยบายทางเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการก็คือ การปรับรายได้ของประชาชนจากประมาณ 100,000 บาทต่อคนต่อปีเป็นจำนวน 180,000 บาทต่อคนต่อปี และจะเร่งปรับผลิตภัณฑ์มวลรวมรายได้ของประเทศ(GDP)จาก 7-8 แสนล้านบาทเป็น 12 ล้านบาท" นักธุรกิจชั้นนำอย่าง "ประชัย" กล่าวอย่างมั่นใจ
พร้อมระบุว่า "ผมมีความเชื่อมั่นว่า ถ้าในประเทศมีคนยากจน ย่อมส่งผลให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยไม่ยั่งยืน ตรงกันข้ามหากประเทศไหนมีคนร่ำรวย ประชาธิปไตยจะยั่งยืนแน่นอน เห็นได้จากประเทศที่ร่ำรวยและพัฒนาแล้ว ประชาธิปไตยของประเทศนั้นจะยั่งยืน"
ออกบอนด์ 5 แสนล้าน ผุดรถไฟฟ้า 10 สายทางใน 10 ปี
สำหรับนโยบายที่เป็น "หัวใจสำคัญ" นโยบายหนึ่งของพรรคประชาราช ที่กำลังมีการเร่งผลักดันให้เดินหน้าไปสู่ความจริงให้เร็วที่สุดนั้น เป็นนโยบาย "สร้างรถไฟฟ้า 10 สายทาง ภายใน 10 ปี เก็บค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย" ซึ่งมีระยะทางทั้งระบบบนดินและใต้ดินรวมกันกว่า 300 กิโลเมตร โดยครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่ากันว่า "เดินไปทางซ้าย-ขวา-เดินหน้า-ถอยหลัง ในระยะทาง 100-150 เมตร จะเจอสถานีรถฟ้าทันที" ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเดินทางของประชาชนอย่างสะดวกสบายและช่วยประหยัดการนำเข้าน้ำมันต่างประเทศได้อย่างดี
"ประชัย" ฟันธงในมุมของนักธุรกิจว่า นโยบายการก่อสร้างรถไฟฟ้า 10 สายทางของพรรคประชาราช จะผลักดันให้เกิดเป็นจริงในระยะเวลา 10 ปี และเก็บค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย ทั้งนี้สิ่งสำคัญก็คือ เงินลงทุนจำนวนกว่า 500,000 ล้านบาทนั้น ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีศักยภาพในการลงทุนอยู่แล้ว แต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาหรือธนาคารแห่งประเทศไทย(แบงก์ชาติ)ไม่ได้ดำเนินการหรือคิดไม่ถึงหรือเข้าทำนอง "เส้นผมบังภูเขา" เท่านั้นเอง
โครงการลงทุนรถไฟฟ้า 10 สายทาง หากก่อสร้างทั้งบนดินและใต้ดินควบคู่กันไป โดยเฉพาะการก่อสร้างบนดิน จะทำให้ต้นทุนก่อสร้างถูกกว่าสร้างบนดิน 3-4 เท่าตัว ดังนั้น จะใช้เงินก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งหมดเพียง 300,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการให้รัฐบาลออกพันธบัตรรัฐบาลหรือบอนด์ ในวงเงินประมาณ 500,000-600,000 ล้านบาท ระยะเวลา 40 ปี อัตราดอกเบี้ย 5-6 %
ซึ่งวิธีการหาแหล่งเงินทุนโดยการออกบอน์ดของรัฐบาลไทยดังกล่าว ถือว่าเป็นการปรับแนวคิดใหม่ โดยนำเงินทุนสำรองของไทยกว่า 74,500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯหรือกว่า 2.5 ล้าน ๆ บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินมหาศาล ที่ผู้ว่าแบงก์ชาตินำไปฝากไว้ที่ธนาคารที่อเมริกาหรือซื้อพันธบัตรของอเมริกา ทำให้รัฐบาลอเมริกานำเงินคนไทยไปพัฒนาประเทศเขาให้เจริญรุ่งเรือง
"ดังนั้น ต้องปรับแนววิธีการใหม่ โดยรัฐบาลต้องออกพันธบัตรหรือบอนด์ แล้วให้แบงก์ชาติซื้อไป เพื่อนำเม็ดเงินจำนวนมหาศาลมาพัฒนาประเทศไทย ไม่ใช่นำเงินคนไทยไปฝากไว้ธนาคารหรือซื้อพันธบัตรของอเมริกาอย่างที่ทำกันอยู่ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมจะทำในลักษณะดังกล่าว เราไม่ได้ต่อต้านอเมริกา เพราะผมเรียนจบจากระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเบร์คเลย์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา และเวลาทำธุรกิจผมก็คิดอย่างอเมริกา แต่ว่าจิตใจของผมเป็นคนไทย และจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของคนไทยมาก่อนเป็นอันดับแรก"ประชัยกล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารต่าง ๆ ก็พร้อมจะซื้อบอนด์ของรัฐบาลอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อนำเงินคนไทยมาพัฒนาประเทศไทย ซึ่งหากดำเนินการดังกล่าว ระยะเวลาเพียง 30 ปีรัฐบาลก็สามารถคืนทุนจากการ
ออกบอนด์ได้แล้ว ส่วนเวลาที่เหลืออีก 10 ปีที่เหลือได้กำไรและประชาชนคนไทยก็ได้ประโยชน์จากการใช้ระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าในการเดินทางได้อย่างประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเป็นการแก้ปัญหาสภาพการจราจรที่คับคั่งในกรุงเทพฯและปริมณฑลอย่างได้ผล" ประธานคณะผู้บริหารพรรคประชาราชฉายวิชันทิ้งท้าย
|
|
|
|
|