|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
อุตสาหกรรมอาหาร ส. ขอนแก่น พลิกเกมรบรับมือตลาดอียูกีดกันเนื้อหมูนำเข้าและค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ชูกลยุทธ์ตั้งฐานผลิตแบบโออีเอ็มที่ยุโรป ประเดิมที่โปแลนด์ ว่าจ้างบริษัท Paruzel เป็นฐานผลิตในยุโรป หวังขยายตลาดยุโรปเพิ่มขึ้น คาดหวังสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 40% ในอีก 3 ปีจากนี้ พร้อมทั้งเตรียมบุกตลาดรีดดี้ทูอีกเต็มที่ปีหน้า ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 6% หวังกวาดรายได้ 770 ล้านบาท
นายเจริญ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อุตสาหกรรมอาหาร ส. ขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์การทำตลาดในกลุ่มประเทศอียูและยุโรป ใหม่ โดยจะไปตั้งฐานผลิต ด้วยการว่าจ้างบริษัท Paruzel ของประเทศโปแลนด์ ให้เป็นโรงงานในการผลิตสินค้า และเป็นฐานส่งออกในยุโรป โดยใช้โนว์ฮาว์และการตรวจสอบคุณภาพโดยทีมงานของบริษัทฯซึ่งประจำอยู่ที่โปแลนด์ภายใต้การบริหารของ นายจรัสภล รุจิราโสภณ ซึ่งเป็นลูกชายเป็นผู้จัดการทั่วไป ประจำสาขาที่ยุโรป ดูแลด้านการตลาดและการผลิตทั้งหมด
สาเหตุหลักของการลงทุนดังกล่าวแม้ว่าจะใช้งบประมาณไม่มากนักเนื่องจากว่า ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์อื่นและลูกชิ้นหมูไม่สามารถนำเข้าไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศอียูได้ เพราะข้อจำกัดทางการค้า และปัญหาโรคปากเปื่อยเท้าเปื่อยของสุกร ทั้งๆที่ยุโรปเป็นตลาดใหญ่เนื่องจากมีคนเอเชียอาศัยอยู่มากกว่า 10 ล้านคน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทฯ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทของไทยได้แข็งค่าขึ้นมาตลอด ทำให้การส่งออกไปนั้นได้กำไรลดลงไม่คุ้มค่ากับการส่งออกจากไทย และที่ผ่านมาขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนไปประมาณ 3 ล้านบาท จึงต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินการ
สาเหตุที่เลือกประเทศโปแลนด์เป็นฐานการผลิตนั้นซึ่งก่อนหน้านั้นได้พิจารณาทั้งหมด 3 ประเทศคือ เชก ฮังการีและโปแลนด์ แต่เลือกโปแลนด์เพราะว่าเป็นศูนย์กลางของยุโรป ง่ายต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศต่างๆ และยังสะดวกที่จะขยายฐานไปยังประเทศที่สามเช่น อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น โดยบริษัทฯจะใช้ระบบ ยูโร เคอร์เรนซี่ ( Euro Currency) ในการซื้อขาย
“ตลาดที่นั่นต้องการสินค้าของเรามาก และยังขายได้ราคาด้วย ที่โปแลนด์ต้นทุนการผลิตถือเป็นแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น ขณะที่อีก 2 ส่วนคือกำไร แต่กำไรนั้นก็ต้องมาแบ่งให้กับคู่ค้าเช่น ร้านค้าปลีก 40% เอเย่นต์ทั่วไป 25%” นายเจริญกล่าว
ทั้งนี้โรงงานดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมือง Katowice ทางตอนใต้ห่างจากเมืองหลวงกรุงวอร์ซอประมาณ 500 กิโลเมตร จะเริ่มผลิตเดือนพฤศจิกายนนี้ มีทั้งพรีเมี่ยมแบรนด์ “ส.ขอนแก่น” ประกอบด้วย แหนม ไส้กรอกอีสาน หมูยอ กุนเชียง ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นเนื้อ และแบรนด์ “วินเนอร์” ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายร้านอาหารโดยราคาจะถูกกว่ากลุ่มพรีเมี่ยมและแบรนด์อื่นยุโรป 15% มีกำลังผลิต 50 ตันต่อเดือน คาดรายได้ในช่วงปีแรกประมาณ 60 ล้านบาท ซึ่งวัตถุดิบโดยเฉพาะหมูนั้นจะใช้พันธ์เดนมาร์กที่ใช้ในไทยเหมือนกัน ส่วนเครื่องเทศสามารถนำเข้าจากไทยได้
ปัจจุบันบริษัทฯมีรายได้จากการส่งออกต่างประเทศประมาณ 10% โดยแบ่งเป็น ตลาดยุโรป 5% อเมริกา 4%, และ เอเชีย 1% ซึ่งจากกลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเป็น 15% ในปีนี้และปีหน้า และเพิ่มเป็น 40% ภายใน 3 ปีนี้ ซึ่งสาเหตุที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลมาจากรายได้จากการส่งออกสแน็กที่ขายดีด้วยในตลาดเวียดนามและไต้หวัน เป็นต้น ขณะที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทฯนั้นมาจาก อาหารพื้นบ้าน 64%, ซีฟู้ด 26% และสแน็ก 10% คาดว่าจะส่งผลให้รายได้รวมในปีนี้ประมาณ 770 ล้านบาท เติบโต 6% จากปีที่แล้วที่ทำได้ 730 ล้านบาท
นอกจากนั้นในปลายปีนี้และปีหน้าบริษัทฯเตรียมรุกตลาดอาหารพร้อมทานหรือรีดดี้ทูอีท ด้วยเต็มที่ โดยใช้แบรนด์ “ส.ขอนแก่น” เช่น เมนูขาหมูพร้อมทาน เมนูหมูแดง เป็นต้น วางขายในคอนวีเนียนสโตร์ และยังจะวางตลาดผลิตภัณฑ์สแน็กแบรนด์อองเทร่เพิ่มอีก เพื่อต้องการขยายฐานตลาดในไทยไปสู่กลุ่มวัยรุ่นมากขึ้นจากเดิมที่ตลาดหลักคือ กลุ่มคนรุ่นเก่ามากกว่า 70%
ในส่วนของการลงทุนนั้น ในปีนี้ได้ใช้งบประมาณกว่า 30 ล้านบาท ในการปรับปรุงเครื่องจักรในการผลิต และปีหน้าจะลงทุนเพิ่มอีกมากกว่า 30 ล้านบาทเพื่อสร้างห้องเย็นเพิ่มขึ้น ส่วนในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ได้ใช้งบการตลาด 10 ล้านบาท สำหรับผลิตภัณฑ์อองเทร่
|
|
|
|
|