|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ไทยออยล์ฟุ้งปี 51 โกยกำไรถล่มทลายนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เนื่องจากมีกำลังการกลั่นเพิ่มเป็น 2.75 แสนบาร์เรล/วันและอะโรเมติกส์รวม 9 แสนตัน/ปี ย้ำการปิดหน่วยกลั่นCDU 3 นาน2 เดือนส่งผลให้กำลังการผลิตหาย 30%ต่ำกว่าแผนเดิมที่ตั้งไว้ เผยในอนาคตเตรียมลงทุนสร้างมูลค่าเพิ่มอะโรเมติกส์ ย้ำยื่นประมูลไอพีพีแน่อย่างน้อย 800เมกะวัตต์ มั่นใจชนะประมูล
นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผย บริษัทฯวางแผนปิดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่น 3 (CDU3) ที่มีกำลังการผลิต 1.15 แสนบาร์เรล/วัน เพื่อเชื่อมต่อท่อส่งน้ำมันต่างๆของส่วนเดิมและส่วนขยายกำลังการกลั่นอีก 5 หมื่นบาร์เรล/วัน ระหว่างในวันที่6 ต.ค.-10 ธ.ค.นี้ จากการปิดซ่อมบำรุงดังกล่าวทำให้ไทยออยล์มีกำลังการผลิตหายไป 30%ของกำลังการผลิตรวม ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะมีกำลังการผลิตหายไป 50%
โดยไทยออยล์จะนำเข้ามิกซ์ไซลีนมาใช้ในการผลิตพาราไซลีนในช่วงที่หน่วยกลั่นCDU 3 ปิดซ่อมบำรุงไปทำให้ส่วนผลิตมิกซ์ไซลีนของบริษัทต้องหยุดไปด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ ไทยออยล์เคยวางแผนที่จะหยุดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นดังกล่าวและหน่วยผลิตพาราไซลีน แต่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาด้านแรงงานของผู้รับเหมาจึงได้ตัดสินใจเลื่อนการหยุดซ่อมหน่วยผลิตพาราไซลีนเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีกเท่าตัวออกไปเป็นวันที่ 11 ม.ค.-15 มี.ค. 2551 แทน
" การหยุดซ่อมบำรุงCDU3 นี้เป็นไปตามแผนงานที่ไทยออยล์วางไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว โดยบริษัทฯได้มีการสต็อกดีเซลไว้ 100 ล้านลิตร น้ำมันอากาศยาน 40 ล้านลิตรและน้ำมันเตาไว้ในช่วงที่หยุด จึงไม่ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันหรือราคาสูงด้วย "
ดังนั้นในปี 2551 ไทยออยล์จะมีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 2.75 แสนบาร์เรล/วัน และอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้นจาก 4.22 แสนตันเป็น 9 แสนตัน/ปี ส่งผลให้ไทยออยล์มีกำไรมากขึ้นเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯมา หากราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ใกล้เคียงปีนี้ โดยปีนี้ บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรสูงกว่าเป้าหมายที่เคยตั้งเป้าไว้เดิม 1.3 หมื่นล้านบาทเนื่องจากค่าการกลั่นในครึ่งแรกของปี 2550 สูงถึง 9.60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และคาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยปีนี้จะไม่ต่ำกว่าปีที่แล้วที่ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนสาเหตุหยุดปิดซ่อมบำรุงในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากเป็นช่วงที่ค่าการกลั่นต่ำสุดในรอบปี โดยไตรมาส 4 /2549 ไทยออยล์มีค่าการกลั่นเฉลี่ยเพียง 0.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้นการหยุดซ่อมบำรุงครั้งนี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่อไทยออยล์มากนัก
" หลังจากไทยออยล์มีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 2.75 แสนบาร์เรล/วัน จะมีรายได้จากค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น 23% และเมื่อรวมรายได้จากการกำลังการผลิตอะโรเมติกส์ที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว ทำให้ปี 2551 บริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้น 35%จากรายได้รวมปี 2550 "
นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ บริษัทฯยังศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ เช่น นำโทลูอีนมาผลิตพาราไซลีน เป็นต้น รวมทั้ง กลุ่มปตท.อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะนำน้ำมันเตาที่ผลิตได้จากทุกโรงกลั่นในเครือฯมากลั่นเป็นน้ำมันใส หรือมาสร้างมูลค่าเพิ่มร่วมกันจากที่ปัจจุบันน้ำมันเตามีราคาต่ำกว่าน้ำมันดิบมาก และไทยต้องส่งออกน้ำมันเตาถึงเดือนละ 150 ล้านลิตร
ส่วนการยื่นประมูลโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี)ว่า ขณะนี้ไทยออยล์อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะยื่นประมูลไอพีพี 1-2 โรงๆละ 800 เมกะวัตต์ โดยเชื่อมั่นว่าไทยออยล์จะชนะการประมูลอย่างน้อย 1 โรง เนื่องจากไม่ต้องลงทุนสายส่งไฟฟ้าเพิ่มเติม และมีระบบสาธารณูปโภคอยู่แล้ว
ด้านโครงการผลิตเอทานอลขนาด 2 แสนตัน/ปีนั้น บริษัทฯจะชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูนโยบายของภาครัฐว่าจะสนับสนุนให้มีการส่งออกหรือไม่ หลังจากช่วงนี้มีปัญหาเอทานอลล้นตลาด
นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯจะไม่มีแผนออกหุ้นกู้เพื่อใช้ในการลงทุนโครงการต่างๆ เนื่องจากบริษัทฯมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมาใช้ลงทุนเพียงพอ และที่ผ่านมาไทยออยล์ได้มีการทยอยลงทุนล่วงหน้าแล้ว
|
|
|
|
|