Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2535
"VOLUME ทะลุหมื่นล้าน ประกายไฟจากนักลงทุนภูธร!!"             
โดย ภัชราพร ช้างแก้ว
 

 
Charts & Figures

เป้าหมายการเจริญเติบโตของหลักทรัพย์ ปี 2535
ตารางแสดงจำนวนนักลงทุนและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของแต่ละโบรกเกอร์ในเขตภาคเหนือ


   
www resources

โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Stock Exchange




มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยในต้นปีที่ผ่านมาสูงกว่าปีก่อนถึงเท่าตัว โดยหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรกเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของมูลค่าการซื้อขายรวมของตลาดฯ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการที่ตลาดขยายตัวมากขึ้นในหนนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายตัวของโครงสร้างนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนภูธรที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าจับตา

ชั่วเวลาเพียง 2 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์สร้างสถิติใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างน่าทึ่งโดยเฉพาะเรื่องมูลค่าการซื้อขายทะลุระดับหมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับแต่ตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นมาในปี 2517

ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักทรัพย์ และนักลงทุนหลายคนมีความเห็นร่วมกันว่าปริมาณการซื้อขายในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 3,237 ล้านบาทในปี 2534 น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,000-8,000 ล้านบาทได้ในปีนี้

ดร. สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและวิจัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องตลาดหลักทรัพย์ให้ความเห็นว่าการพัฒนาเติบโตของตลาดหลักทรัพย์ไทยที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ได้ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างนักลงทุนไทย

กล่าวคือมีการขยายตัวของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นมาก จากปี 2529 ที่มีจำนวนบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหุ้นไทยประมาณ 180,000 คนคิดเป็นร้อยละ 0.4 ของประชากรไทยปรากฏว่าในปี 2534 มีจำนวนผู้เป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มเป็น 740,000 คนหรือคิดเป็นร้อยละ 1.2

ดร. สมชายมองว่า "การขยายตัวเช่นนี้อธิบายถึงอัตราการเพิ่มของคนเล่นหุ้นได้อย่างดี และเป็นภาพสะท้อนของการขยายตัวของปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นในอัตราเกือบร้อยเปอร์เซนต์ตลอดเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ยกเว้นปี 2534 ที่มีอัตราการเพิ่มเพียงร้อยละ 27 เพราะเศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างชาติในไทยชะลอตัวลง"

ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2534 เท่ากับ 793.1 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2533 ร้อยละ 26.4 ส่วนมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศในตลาดหลักทรัพย์ฯ มี 130.2 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 27.9 ขณะที่ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ ณ วันทำการสุดท้ายของปี ปิดที่ 711.36

เปรียบเทียบกับในเดือนมกราคม 2535 เพียงเดือนเดียวมีมูลค่าการซื้อขายถึง 150 พันล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.9% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งปีในปี 2534

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการตั้งเป้าหมายปริมาณการซื้อขายรวมสำหรับปี 2535 ไว้ที่ 1,235 พันล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยประมาณ 5,000 ล้านบาท/วัน เพิ่มขึ้นจากปี 2534 ประมาณ 55% (ดูเป้าหมายการเจริญเติบโตของตลาดหลักทรัพย์ปี 2535)

ดร. สมชายให้ความสำคัญกับจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดอย่างหนึ่งคือ การที่กระทรวงการคลังอนุญาตให้บริษัทโบรกเกอร์เปิดสำนักงานบริการด้านหลักทรัพย์ในต่างจังหวัดได้ โดยยื่นขอเปิดปีละ 5 แห่ง/ราย

"การขยายตัวของนักลงทุนในต่างจังหวัดในปีที่ผ่านมาและในอนาคตสืบเนื่องจากการขยายจำนวนตัวแทนของโบรกเกอร์ซึ่งจะเพิ่มขึ้นอีกในปี 2535 นี้จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของนักลงทุนในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่ากรุงเทพฯ และทำให้อัตราการเพิ่มของนักลงทุนในประเทศเพิ่มเร็วกว่านักลงทุนต่างประเทศ" ดร. สมชายแสดงความคิดเห็น

เขายังคาดหมายด้วยว่า "ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยในอนาคตจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วบางวันจะสูงถึงกว่า 15,000 ล้านบาท และหากมีการซื้อขายวันละสองรอบ ปริมาณการซื้อขายในบางวันจะสูงถึง 20,000 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงจากการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในต่างจังหวัดมีผลทำให้โครงสร้างนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลง และเป็นตัวอธิบายการพุ่งขึ้นของปริมาณการซื้อขายต่อวันเป็นหลักหมื่นในช่วงที่ผ่านมา"

การคาดหมายของ ดร. สมชายไม่ได้ห่างไกลจากข้อเท็จจริงมากนัก เพราะมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่เคยสูงสุดที่ 12,000 กว่าล้านบาท มีการสร้างสถิติใหม่แล้วที่ 14,000 กว่าล้านบาท

เชื่อว่าสถิติใหม่ ๆ เช่นนี้จะมีให้เห็นได้ในตลอดปี 2535 นี้

สำนักงานบริการด้านหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งในรอบแรก (2533) มีทั้งสิ้น 93 ราย แต่จนปัจจุบันมีการเปิดให้บริการแล้วประมาณ 70 ราย โดยกระจายไปอยู่ตามจังหวัดสำคัญในทุกภาค

กระทรวงการคลังกำหนดว่าการขอตั้งสำนักงานบริการด้านหลักทรัพย์จะทำได้เฉพาะในเขตอำเภอเมืองหรืออำเภอขนาดใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี อำเภอขนาดใหญ่เหล่านี้ต้องเป็นอำเภอที่มีสาขาของธนาคารพาณิชย์เปิดดำเนินการอยู่แล้วก่อนวันสิ้นสุดรับคำขอตั้งแต่ 10 สาขาขึ้นไป

บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตต้องเปิดสำนักงานและประกอบธุรกิจภายใน 9 เดือนตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาต เว้นแต่แบงก์ชาติจะขยายเวลาให้ไม่เช่นนั้นจะถือว่าการอนุญาตดังกล่าวยกเลิกไป

นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดด้วยว่าบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นโบรกเกอร์หรือไม่ได้เป็นก็ตาม ซึ่งจะยื่นขอเปิดสำนักงานฯ นั้น ต้องมีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในรอบ 12 เดือนหลังสุดก่อนยื่นขออนุญาตไม่น้อยกว่าส่วนเฉลี่ยมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทโบรกเกอร์ และต้องมีผลการดำเนินงานกำไรสุทธิติดต่อกัน 2 ปีหลังสุดก่อนยื่นคำขอ ไม่มีขาดทุนสะสมคงค้างจากปีก่อน ๆ ยกเว้นพิสูจน์ได้ว่าการไม่มีกำไรนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัท

เงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดเช่นนี้กำหนดให้โบรกเกอร์ที่เป็นรายใหญ่เท่านั้นที่สามารถยื่นคำขอเปิดสำนักงานตัวแทนได้

จังหวัดที่ได้รับความสนใจเปิดห้องค้ากันมากในช่วงแรก ๆ คือจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเช่น เชียงใหม่ นครสวรรค์ นครราชสีมา ชลบุรี ระยอง สงขลา หาดใหญ่ แต่เมื่อมีการเปิดสำนักงานฯ ขึ้นแล้วปรากฏว่ามีการแข่งขันกันสูงมาก โบรกเกอร์บางรายจึงเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์ในปีต่อมาด้วยการเข้าไปเปิดในจังหวัดใหญ่รองลงมาที่มีพลังทางเศรษฐกิจที่จะเติบโตต่อไปได้ โดยเฉพาะในเขตภาคกลาง

วีระสิทธิ์ สฤษดิพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริการลูกค้าหลักทรัพย์บุคคล บงล. ภัทรธนกิจให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า "ส่วนหนึ่งแบงก์ชาติก็เสนอให้กลับมาพิจารณาทบทวนเพราะมีการเปิดในจังหวัดใหญ่ ๆ เยอะมากแล้ว ผมก็มามองในจังหวัดสำคัญที่รองลงมา มันน่าจะมีโอกาสที่ดีกว่าเพราะคนยังไปเปิดไม่มาก"

ภัทรฯ ซึ่งไม่มีสาขาในต่างจังหวัดเลย และเพิ่งขออนุญาตเปิดสำนักงานบริการฯ ในรอบแรก 5 แห่ง ส่วนมากอยู่ในจังหวัดใกล้เคียง เช่นที่ชลบุรี จันทบุรี พัทยากลาง อุดรฯ และสุราษฎร์ธานี และในรอบต่อมายื่นเปิดที่สระบุรี สมุทรสาคร ศรีราชา ระยองและภูเก็ต

เท่ากับว่านโยบายของภัทรฯ จะยังไม่มีลงไปแข่งขันในจังหวัดใหญ่ ๆ ที่มีโบรกเกอร์เปิดกันเป็นจำนวนมาก แต่วีระสิทธิ์กล่าวว่าปีต่อ ๆ ไปก็ไม่แน่

เชียงใหม่และหาดใหญ่เป็น 2 จังหวัดที่มีปริมาณห้องค้ามากไล่เลี่ยกันและปริมาณการซื้อขายสูงใกล้เคียงกันด้วย

สวัสดิ์ ชอบธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสการบริหารสาขาและบริการสินเชื่อเช่าซื้อของ บงล. ศรีมิตรเปิดเผยว่า "ในจำนวนสาขา และสำนักงานบริการของศรีมิตรที่มีปริมาณการซื้อขาย 4,000 ล้านบาทเมื่อปี 2534 ทั้งปีนั้น ปรากฏว่าเชียงใหม่ครองแชมป์มาเป็นอันดับหนึ่งคือประมาณ 30% ของมูลค่าการซื้อขาย รองลงมาคือหาดใหญ่ 23% นครสวรรค์และขอนแก่นแห่งละประมาณ 11% โคราช อุดรฯ อุบลฯ และสุรินทร์แห่งละประมาณ 7%

เชียงใหม่มีห้องค้าทั้งหมด 14 ห้อง ในจำนวนนี้มีโบรกเกอร์เก่าที่มีใบอนุญาตเปิดสาขาและดำเนินธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ได้ทุกอย่าง 2 รายคือศรีมิตรและธนานันต์ ที่เหลือเปิดเป็นแค่สำนักงานบริการด้านหลักทรัพย์หรือให้บริการซื้อขายหุ้นเพียงอย่างเดียว

อันที่จริงมีบริษัทหลักทรัพย์ขอเปิดห้องค้าหุ้นมากกว่านี้ แต่เมื่อถึงกำหนดยังไม่ยอมเปิด ใบอนุญาตนั้นก็หมดอายุลงโดยปริยาย โบรกเกอร์ที่ไม่ได้เปิดห้องค้าตามที่ยื่นขอคือไทยเม็กซ์ กรุงเทพธนาทร สหธนกิจไทยและพูลพิพัฒน์

แหล่งข่าวในวงการโบรกเกอร์เชียงใหม่ให้ความเห็นว่า การที่โบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตแล้วไม่มาเปิดห้องค้า เพราะไม่สามารถหาพนักงานและเตรียมสถานที่ได้ทันตามกำหนด และโบรกเกอร์เหล่านี้ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักลงทุนในต่างจังหวัดมากนัก

อย่างไรก็ตามโบรกเกอร์ที่ไปเปิดแล้วถึง 14 แห่งนั้นก็ถือว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก แม้ว่าในระยะเริ่มต้นจะยังได้ลูกค้าไม่มากก็ตาม

เอนก เลิศรมยานันท์ ผู้ช่วยผู้จัดการสาขา บงล. ศรีมิตร สาขาเชียงใหม่ เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า "คนเล่นหุ้นในเชียงใหม่ที่แอคทีฟมีประมาณ 300 คน/วัน แต่มีคนที่ขึ้นทะเบียนหรือเปิดบัญชีไว้ประมาณ 1,000-1,200 คน"

ศูนย์ข่าว "ผู้จัดการ" ประจำเชียงใหม่สำรวจไว้พบว่ามีคนเล่นหุ้นในเชียงใหม่ประมาณ 400 คน/วัน และมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 200 กว่าล้านบาท/วัน (ดูตารางแสดงจำนวนนักลงทุนและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของแต่ละโบรกเกอร์ในเขตภาคเหนือ)

อย่างไรก็ดีในวันที่ตลาดฯ มีปริมาณการซื้อขายมากนั้น ปริมาณการซื้อขายในจังหวัดต่าง ๆ ก็เพิ่มตามขึ้นด้วย

เอนกซึ่งเป็นคนเชียงใหม่และมีประสบการณ์ในธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์มานานกว่า 20 ปีเปิดเผยเกี่ยวกับธุรกิจค้าหลักทรัพย์ของศรีมิตรในเชียงใหม่ว่า "ศรีมิตรที่เชียงใหม่นี่เคยมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดถึง 118 ล้านบาท/วัน ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์อ่าวเปอร์เซีย แต่หลังจากนั้นมาก็ยังไม่เคยพุ่งสูงขนาดนั้นอีก"

ปัจจุบันศรีมิตรมีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 50-70 ล้านบาท/วัน โดยมีลูกค้าเข้ามาซื้อขายหุ้นในห้องค้าวันละ 70 ราย ลูกค้าส่วนมากของศรีมิตรในเชียงใหม่เป็นพ่อค้า โดยเฉพาะพ่อค้าพืชไร่ เพราะลักษณะของธุรกิจการค้าพืชไร่เป็นประเภทเก็งกำไร กล้าได้กล้าเสีย มีกำลังซื้อเยอะ ดังนั้นพ่อค้าเหล่านี้จะเข้าใจกลไกการเล่นหุ้นได้ไม่ยากนัก

เอนกเปิดเผยด้วยว่า "ลูกค้าที่เป็นรายใหญ่สุดของศรีมิตรมี PORTFOLIO ประมาณ 70-80 ล้านบาท"

ศรีมิตรเป็นโบรกเกอรที่ที่ค่อนข้างได้เปรียบในเชียงใหม่ เพราะความที่ตั้งมานาน จึงมีลูกค้าเก่า ๆ ที่คุ้นเคยกันจำนวนหนึ่ง แต่ลูกค้าเหล่านี้เมื่อมีโบรกเกอร์อื่นมาเปิดห้องค้าใหม่ก็มักจะไปเปิดบัญชีที่อื่นทิ้งไว้ด้วยเสมอ

เอนกให้ความเห็นว่า "สังคมในเชียงใหม่ค่อนข้างแคบ เมื่อลูกค้าของเราถูกชักชวนไปจากคนที่ชอบพอก็จะให้ความช่วยเหลือไปเทรดที่อื่น ๆ บ้าง นักลงทุนที่นี่จึงมักจะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์หลายแห่ง อย่างลูกค้าของศรีมิตรที่ไปเทรดห้องค้าอื่นก็มีบ้างประมาณ 10% ของลูกค้าทั้งหมด ที่เหลือก็มาที่ศรีมิตรประจำ มีบางคนไปเทรดที่อื่นแต่ก็โทรฯ ส่งออเดอร์ผ่านมาทางศรีมิตรก็มี"

หลังจากที่มีโบรกเกอร์อื่นมาเปิดห้องค้าเพิ่มขึ้นแล้ว เอนกยอมรับว่าศรีมิตรมีปริมาณการซื้อขายลดลง 20% สภาพการแข่งขันมีสูงมากโดยเฉพาะในเรื่องของดอกเบี้ยตั๋วเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ (MARGIN) นอกจากนี้ก็มีเรื่องของความแม่นยำในการให้ข้อมูลแก่ลูกค้าและการบริการของพนักงาน "ข้อมูลโบรกเกอร์ไหนแม่นกว่าก็สามารถดึงลูกค้าไปได้มาก แต่ถ้าข้อมูลมีเท่ากันก็อยู่ที่ความสัมพันธ์และการบริการลูกค้า ใครดีกว่าก็เอาลูกค้าไปได้ คนเล่นจะผูกพันกับตัวพนักงานมาก ที่นี่โบรกเกอร์ต้องง้อลูกค้า" เอนกเปิดเผย

นักลงทุนในเชียงใหม่ใช้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์กันเป็นจำนวนมาก เอนกคาดหมายว่าประมาณ 70% ของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในเชียงใหม่เป็นเงินกู้ยืม ดังนั้นการแข่งขันเรื่องดอกเบี้ยประเภทนี้จึงสูงมาก

ศรีมิตรคิดดอกเบี้ยเงินกู้ตัวนี้เพิ่ม 2% จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในตั๋วสัญญาใช้เงินหรือดอกเบี้ยฝาก 9% คิดดอกเบี้ยกู้ 11% อัตรานี้ไม่แน่นอนตายตัว ศรีมิตรมีลูกค้าที่ซื้อขายแบบมาร์จิ้น/เงินสดคิดเป็น 70/30 ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากพอสมควร

บัญชีเงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์มีส่วนเพิ่มปริมาณการซื้อขายในห้องค้าที่เชียงใหม่พอสมควร แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดนั้นเอนกเห็นว่าเป็นเรื่องของการเทรดหลายรอบมากกว่า

เขาเห็นว่า "มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มทะลุหมื่นล้านบาทนั้น ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนภูธรก็มีส่วนบ้างเล็กน้อย เพราะมีโบรกเกอร์มากันมาก ลูกค้าขยายตัวการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการใช้บัญชีมาร์จิ้นทำให้เทรดกันหลายรอบ อย่างซื้อ 5 ครั้งขาย 4 ครั้งก็เท่ากับเหลือมาร์จิ้นอยู่ครั้งเดียวเท่านั้น"

การเทรดหลายรอบจะทำได้คล่องตัวเมื่อสภาพราคาหลักทรัพย์แกว่งมากหรือขึ้นลงตลอดเวลา เอนกเปิดเผยว่า "สถิติสูงสุดเท่าที่ผมเคยเห็นที่นี่คือเทรด 4 รอบ/หุ้นตัวเดียวในหนึ่งวัน ถ้าเป็นปกติก็ 2 รอบ แล้วติดไว้ไปขายในวัยรุ่งขึ้น"

ส่วนที่ บงล. ธนานันต์ ซึ่งเปิดเป็นสาขามาตั้งแต่ปี 2521 นั้น สุวิไล สังยะ หัวหน้าส่วนค้าหลักทรัพย์ยอมรับว่า "มีการแข่งขันสูงมากในเชียงใหม่ ลูกค้ามักจะเล่นแบบเก็งกำไรมากกว่าพวกที่ลงทุนระยะยาว ลูกค้าที่ใช้บัญชีกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ที่นี่มีประมาณ 10 ราย เพราะมีเจ้าหน้าที่ดูแลน้อย"

สุวิไลซึ่งทำงานกับธนานันต์มาเป็นเวลานานแต่เพิ่งย้ายมาอยู่ห้องค้าเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเปิดเผยด้วยว่า "อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบัญชีเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์นั้นคิดบวก 2.5% สมมติหน้าตั๋ว 9% จะคิดเพิ่มเข้าไปอีก 2.5%"

ธนานันต์แม้จะเปิดมาเป็นเวลานาน แต่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นไม่สูงนัก เฉลี่ยประมาณ 20 ล้านบาท/วัน มีลูกค้ามานั่งซื้อขายประจำวันประมาณ 50 คนส่วนมากเป็นลูกค้าเก่าและเป็นข้าราชการบำนาญมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มแม่บ้านกลุ่มพ่อค้านั้นมีบ้างแต่เป็นส่วนน้อย

ทางด้าน บงล. สินเอเซียซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการเฉพาะการซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อ 22 มกราคมที่ผ่านมา ธงชัย ณ เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่การตลาดอาวุโสของที่นี่เปิดเผยว่า "ลูกค้าที่ใช้บัญชีเงินกู้เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ของสินเอเซียมีประมาณ 30% วงเงินกู้สูงสุดตอนนี้มี 40 ล้านบาท ส่วนมากลูกค้าจะเล่นเก็งกำไรและเล่นกลุ่มหุ้นตามนักลงทุนในกรุงเทพฯ เพราะข้อมูลจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่นั้นรวดเร็วมาก"

ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของสินเอเซีย เนื่องจากมาเปิดใหม่จึงยังไม่สูงนัก มีปริมาณ 10-15 ล้านบาท/วัน มีลูกค้าซื้อขายประจำวันละ 15 ราย เป็นลูกค้าใหม่เสียประมาณ 50% ที่เหลือมาจากห้องค้าอื่นบ้าง และเป็นนักธุรกิจ/ค้าขาย

ธงชัยมีความเห็นว่า "แนวโน้มของการเล่นหุ้นในเชียงใหม่น่าจะเพิ่มขึ้น แม้ว่าสภาพการแข่งขันจะสูงมากก็ตาม แต่การให้ความรู้แก่นักลงทุนมากก็จะทำให้คนสนใจเข้ามาซื้อขายกันมากด้วย"

อนันต์ กิมสุวรรณ ผู้จัดการสำนักงานบริการด้านหลักทรัพย์ของ บงล. เอ็มซีซี ที่เชียงใหม่มองเรื่องการแข่งขันว่า "ผมคิดว่าโบรกเกอร์ที่นี่ดูเหมือนจะสามัคคีกันทำธุรกิจมากกว่า อย่างน้อยเอ็มซีซีก็ไม่มีการแข่งขันกับใคร และทางสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้กำหนดเป้าให้เราแข่งขันอย่างรุนแรงด้วย"

ปริมาณการซื้อขายของเอ็มซีซียังไม่ค่อยมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเพิ่งมาเปิดสำนักงานบริการฯ และอีกส่วนหนึ่งอนันต์บอกว่า "ผมค่อนข้างเลือกลูกค้า" ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในเวลานี้ประมาณวันละ 10 ล้านบาท มีลูกค้าเปิดบัญชีเกือบ 90 ราย ที่เข้ามาซื้อขายประจำวันมีอยู่ราว 16 ราย โทรศัพท์สั่งซื้อขายประมาณ 8 ราย ลูกค้าส่วนมากเป็นพ่อค้า มีอาจารย์มหาวิทยาลัยบ้าง 4-5 คน

อนันต์มองว่าปริมาณการซื้อขายในตอนนี้ดีกว่าเมื่อมาเปิดสำนักงานในเดือนธันวาคม 2534 ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 4-5 ล้านบาทเท่านั้น

เขาคาดหมายด้วยว่าหากมีการเปิดเทรด 2 รอบ รายได้โบรกเกอร์น่าจะดีขึ้น แต่คนเล่นอาจจะไม่ค่อยชอบนักเพราะต้องใช้เวลามากเกินไป นักลงทุนส่วนใหญ่ในเชียงใหม่จะเล่นหุ้นในช่วงเช้าและทำธุรกิจในช่วงบ่าย คนที่เล่นหุ้นเต็มตัวมีเป็นจำนวนน้อย

สัดส่วนลูกค้าที่ใช้บัญชีเงินกู้เพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์มีน้อยมากเพียง 4 รายเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยคิดสูงกว่าหน้าตั๋ว 1% ลูกค้าที่ใช้บัญชีเงินกู้เพื่อซื้อขายฯ ตอนนี้ที่มี PORTFOLIO สูงสุดมีวงเงินเพียง 5 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนรายที่เป็นเงินสดนั้น PORTFOLIO สูงสุด 20 ล้านบาท

ทัยวรรณ จิตตวัฒนา ผู้จัดการสำนักงานบริการหลักทรัพย์ บล. เอเซียเปิดเผยว่า "บริษัทฯ ไม่มีลูกค้ามาร์จิ้นเลย ลูกค้ามากกว่า 50% คือร้านค้าในตัวเมือง หมอ อาจารย์มหาวิทยาลัย และพนักงานในบริษัทประกันภัยที่เป็นระดับผู้จัดการก็มีส่วนนี้จะมาเป็นกลุ่ม"

กลยุทธ์การเจาะตลาดของทัยวรรณที่น่าสนใจมาก เขาพยายามเจาะกลุ่มลูกค้าที่ติดค้างพอร์ทฯ ไว้ตั้งแต่สมัยวิกฤติการณ์อ่าวเปอรเซีย เขาเล่าว่า "มีลูกค้าคนหนึ่งขาดทุนตั้งแต่สมัยซัดดัมประมาณ 45 ล้านบาท ผมก็ช่วยแก้ให้ ตอนนี้เหลือติดอยู่แค่ 10 ล้านบาทเท่านั้น ผมเห็นว่าตลาดลูกค้ากลุ่มนี้มีอยู่ไม่น้อย หากช่วยแก้ไขให้พวกเขาได้ ก็จะเป็นฐานลูกค้าที่สำคัญทีเดียว"

นอกจากนี้ทัยวรรณยังมีแผนการตลาดด้วยการจัดอบรมความรู้เรื่องหลักทรัพย์แก่ลูกค้า จัดสัมมนาทุกเดือน ๆ ละ 2 ครั้ง ๆ ละไม่เกิน 25 คน การจัดแต่ละครั้งปรากฏว่ามีคนกลับมาเทรดกับบริษัทฯ เอเซียประมาณ 10 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าพอใจไม่น้อย

ทัยวรรณตั้งเป้าไว้ในไตรมาสแรกของปีนี้ว่าจะทำปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยวันละ 15 ล้านบาท ทั้งที่หากเทรดวันละ 5 ล้านบาทก็ถึงจุดคุ้มทุนแล้วแต่ตอนนี้เทรดมากขึ้นก็จะถึงจุดคุ้มทุนเร็วขึ้น

นอกจากเจาะตลาดลูกค้าเก่าที่เจ็บตัวมาคราววิกฤตอ่าวเปอร์เซียแล้ว ทัยวรรณยังมีลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยเจ็บตัวมาก่อนเข้ามาซื้อขายอยู่ไม่น้อย แต่เขามีความเห็นว่า "ลักษณะการตัดสินใจซื้อขายของคนเชียงใหม่ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองมาก ตัดสินใจช้ากว่าจะซื้อหรือขายตามที่โบรกเกอร์บอก ราคาก็มักจะเคลื่อนไหวห่างออกไปแล้ว"

อันที่จริงพฤติกรรมการเล่นหุ้นของคนในเชียงใหม่ก็ไม่ต่างไปจากจังหวัดอื่น ๆ กระทั่งในกรุงเทพฯ มากนัก คือนิยมการเก็งกำไร เทรดวันละหลายรอบ ใช้บัญชีเงินกู้เพื่อซื้อขายฯ

มีที่พิศดารออกไปซึ่งดูเหมือนจะเริ่มทำกันให้เห็นประปรายคือการใช้โพยหุ้นที่โบรกเกอร์จัดทำในแต่ละวัน การจับกลุ่มเพื่อต่อรองขอลดค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหุ้น และการเล่นแบบ "จับเสือมือเปล่า" คือเปิดบัญชีไว้แล้วจ่ายหรือรับเงินเฉพาะส่วนต่างของการซื้อขาย แต่ไม่ได้ใช้เงินเพื่อการซื้อขายจริงและการทำชอร์ตเซลล์

พฤติกรรมทั้ง 3-4 แบบถือเป็นการผิดกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ฯ

แหล่งข่าวเปิดเผยว่ามีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 คนซึ่งมีพฤติกรรมต่อรองขอลดค่านายหน้าซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นเจ้าของที่ดินแถบสันกำแพง มีธุรกิจโรงแรมและห้างสรรพสินค้าในเชียงใหม่ คนกลุ่มนี้จะมีการเปิดบัญชีในหลายโบรกเกอร์ เกือบทุกแห่งก็ว่าได้

ระยะแรกเป็นความพยายามรวมตัวในฐานะนักลงทุน มีการขอความสนับสนุนช่วยเหลือด้านเงินทองจากโบรกเกอร์เพื่อการจัดงานต่าง ๆ ในชมรม ซึ่งโบรกเกอร์หลายรายก็ยอมเพราะมีการสัญญาว่าจะเพิ่มปริมาณการซื้อขายหรือช่วยแนะนำลูกค้าเข้ามาให้ แต่ในเวลาต่อมากลับเหลว

นักลงทุนกลุ่มนี้จะตระเวณขอลดค่านายหน้ากับโบรกเกอร์แต่ละราย บางรายก็รับบางรายปฏิเสธ ปริมาณการซื้อขายที่นักลงทุนกลุ่มนี้ต่อรองเพื่อขอลดค่านายหน้าสูงถึง 200 ล้านบาท/เดือน

ปริมาณขนาดนี้ก็ชวนให้โบรกเกอร์ทั้งหลาย "น้ำลายหก" อยู่เหมือนกัน!!

ส่วนเรื่องโพยหุ้นนั้นมีการจัดทำกันหลายราย บางรายก็ได้ผลดีมีอัตราถูกประมาณ 70-80% เช่นโพยหุ้นของ บงล. เกียรตินาคิน แต่ที่เจ็บตัวก็มีเพราะพฤติกรรมตัดสินใจของคนเชียงใหม่ที่ว่าช้า กว่าจะเข้าราคาก็ลงไปแล้ว

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการทำชอร์ตเซลล์หรือโบรกเกอร์บางรายอนุญาตให้ลูกค้าทำการซื้อขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นอยุ่ในบัญชีจริง และการซื้อขายแบบ "จับเสือมือเปล่า"

แหล่งข่าวเปิดเผยว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากในหมู่โบรกเกอร์ในเชียงใหม่ แต่อีกส่วนก็มาจากการริเริ่มต่อรองของลูกค้าเองเช่นเรื่องของการขอลดค่านายหน้า

"หากโบรกเกอร์ยังมีพฤติกรรมเช่นนี้และยอมให้ลูกค้ามาต่อรองอย่างผิดกฎระเบียบ ต่อไปนักลงทุนในเชียงใหม่จะนิสัยเสียกันไปหมด" แหล่งข่าวในวงการค้าหลักทรัพย์เชียงใหม่ให้ความเห็น

ในส่วนของนักลงทุนนั้น ประพันธ์ บูรณุปกรณ์ ประธานชมรมนักลงทุนจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นผู้อำนวยการบริษัท P.COLLECTION มีหุ้นส่วนใหญ่ในโรงแรมดิ เอมเพรสและเป็นเจ้าที่ดินแถบสันกำแพงกับเจ้าของโครงการหมู่บ้านสวนนทรีย์ให้ความเห็นกับ "ศูนย์ข่าวผู้จัดการ เชียงใหม่" ว่า "นักลงทุนในเชียงใหม่เริ่มหันมาทำการซื้อขายแบบเก็งกำไรในชั่วโมงเทรดกันมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดบูมจะมีการสั่งซื้อขายไม่ต่ำกว่าวันละ 2 รอบ ส่วนมากเป็นนักลงทุนที่ใช้บัญชีมาร์จิ้น พวกที่เปิดบัญชีเงินสดจะเก็งกำไรไปวัน ๆ"

ตัวประพันธ์นั้นเปิดบัญชีไว้ทั้งสองประเภท เพื่อที่ว่าเมื่อเล่นแบบเก็งกำไรก็ใช้มาร์จิ้น หากซื้อเพื่อลงทุนระยะปานกลางก็จะใช้บัญชีเงินสด และประพันธ์มีบัญชีอยู่กับหลายโบรกเกอร์ "เพราะส่วนใหญ่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง" ประพันธ์กล่าว

ว่ากันว่าประพันธ์และนักลงทุนในชมรมฯ ของเขาเป็นกลุ่มลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ ตัวประพันธ์ พี่สาวซึ่งรู้จักกันในนามกลุ่มทัศนาพรและน้องชายชื่อวิชิต บูรณุปกรณ์ ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงแรมดิ เอมเพรสนั้นก็เป็นกลุ่มที่รวยแบบเงียบ ๆ และรวยมากด้วย ตัววิชิตเองนั้นก็เล่นหุ้นอยู่ไม่น้อย

เชียงใหม่เป็นตัวอย่างของการลงทุนด้านหลักทรัพย์ในระดับภูธรที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว หุ้นที่นักลงทุนเหล่านี้เล่นส่วนมากก็เป็นกลุ่มเดียวกับที่นักลงทุนในกรุงเทพฯ ให้ความสนใจ เช่นกลุ่มแบงก์ อสังหาริมทรัพย์และไฟแนนซ์

เรียกได้ว่าเล่นกันเฉพาะกลุ่มหุ้นท้อปเทนหรือหุ้น 10 ตัวแรกที่มีมูลค่าการซื้อขายมากเท่านั้น และหุ้นกลุ่มนี้ก็เป็นตัวกำหนดทิศทางดัชนีตลาดฯ ว่าจะขึ้นหรือลง

ส่วนในแง่ของข่าวสารข้อมูล นักลงทุนในเชียงใหม่ได้รับข้อมูลที่ไม่ได้ด้อยหรือล่าช้าไปกว่านักลงทุนในกรุงเทพฯ แม้แต่น้อย เพราะประสิทธิภาพของระบบสื่อสารที่โบรกเกอร์ต้องยอมลงทุนเพื่อแข่งขันการให้บริการ ทุกโบรกเกอร์มีกระดานอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรายงานราคาหุ้น บางแห่งมีทีวีวอลล์เพิ่มเข้ามา มีจอคอมพิวเตอร์ให้ลูกค้าตรวจสอบพอร์ทฯ และห้องวีไอพีเพื่อบริการลูกค้าพิเศษ ฯลฯ

แม้ว่าสัดส่วนนักลงทุนในเชียงใหม่จะยังมีเป็นจำนวนน้อยคือประมาณร้อยละ 0.2% ของประชากรเชียงใหม่ แต่ในอนาคตอัตราการเพิ่มจะรวดเร็วมากขึ้น เป็นที่คาดหมายด้วยซ้ำว่าอัตราการเพิ่มของนักลงทุนภูธรจะทำให้การขยายตัวของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปีนี้

นอกจากเชียงใหม่แล้ว จังหวัดใหญ่ ๆ ในภาคอื่น ๆ ก็ขยายตัวในอัตราที่สูงไม่น้อยไปกว่ากัน

สวัสดิ์เปิดเผยว่า "ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ศรีมิตรมียอดการลงทุนของสาขาและสำนักงานบริการในต่างจังหวัดรวมกันประมาณ 4,000 ล้านบาท สาขาที่เชียงใหม่มีปริมาณการซื้อขาย 1,200 ล้านบาท ส่วนสาขาที่หาดใหญ่มีอัตราการขยายตัวรองลงมาคือซื้อขายประมาณ 920 ล้านบาท นครสวรรค์และขอนแก่นแห่งละ 440 ล้านบาท ที่โคราช อุดรฯ อุบลฯ และสุรินทร์แห่งละ 300 ล้านบาท"

นั่นเป็นตัวเลขที่น่าสนใจไม่น้อย มันสะท้อนอย่างชัดเจนว่าพลังการลงทุน/พลังการซื้อและเก็งกำไรของนักลงทุนภูธรมีอัตราสูงขนาดไหน

ในปริมาณการซื้อขายของศรีมิตรทั้งปี 2534 ซึ่งมีปริมาณสูงถึง 98,200 ล้านบาทนั้น สวัสดิ์เปิดเผยตัวเลขว่า "เป็นสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนภูธร 27% จากต่างประเทศกลุ่มที่ผ่าน BARING 18% ที่เหลือเป็นนักลงทุนในกรุงเทพฯ 45%"

ตัวเลขของศรีมิตรซึ่งเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ และมีปริมาณการซื้อขายจากต่างจังหวัดในอัตราที่สูงมากสะท้อนภาพการขยายตัวของนักลงทุนภูธรได้อย่างชัดเจน

ในช่วงครึ่งหลังของปี 2535 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขยายเวลาการซื้อขายหลักทรัพย์ออกเป็น 2 รอบ รวมทั้งการเปิดศูนย์บริการผู้ลงทุนในต่างจังหวัด แผนการนี้จะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นการขยายตัวของนักลงทุนภูธรมากขึ้น คาดหมายกันว่านักลงทุนภูธรจะขยายตัวเพิ่มจากปัจจุบันที่มีปริมาณการซื้อขายราว 20% ของปริมาณการซื้อขายรวมของตลาดหลักทรัพย์ในแต่ละวัน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us