|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ผู้ถือหุ้นแบงก์กรุงศรีฯอนุมัติทุ่ม 1.7 หมื่นล้านซื้อลิสซิ่งจากกลุ่มจีอีแคปปิตอล ดันพอร์ตสินเชื่อ-มาเก็ตแชร์พุ่งพรวดเทียบ"ธนชาต"อันดับ 1 ของวงการ พร้อมตั้งเป้าในอีก 2 ปีขยายฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่มเป็น 50% ระบุแม้ปีหน้าจะมีความเสี่ยงด้านการเมือง-เศรษฐกิจอยู่แต่เป็นแนวทางที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการปล่อยสินเชื่อเอง
นางเยาวลักษณ์ พูลทอง ประธานคณะเจ้าหน้าที่ ด้านการสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของธนาคารเมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการเสนอให้ซื้อหุ้นบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GECAL ในสัดส่วน 100% ในราคา 17,000 ล้านบาท โดยในขั้นตอนต่อไปต้องทำเรื่องขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กระทรวงการคลังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเข้าไปซื้อหุ้น GECAL ทำให้สินเชื่อของธนาคารเพิ่มขึ้น 90,000 ล้านบาท ส่งผลให้ฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้นจาก 15 % เป็น 32-33 % จากเป้าหมายที่ธนาคารตั้งเป้าไว้ว่า ในปี 2553 ฐานสินเชื่อรายย่อยจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% จะเป็นสินเชื่อรายใหญ่ และสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี) ขณะที่เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(บีไอเอส)ของธนาคารจากปัจจุบันอยู่ที่ 19.7% เมื่อซื้อหุ้น GECAL ทำให้บีไอเอสปรับลดลงเหลือ 16.2 % และเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 จำนวน 12.4 % ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนดไว้มากโดยกำหนดบีไอเอสไว้ที่ 8.5 %
"จากนี้ต่อไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า สินเชื่อรายย่อยจะมีอัตราการเติบโตสูงมากและเป็นการเติบโตในตัวเลข 2 หลัก ขณะที่สินเชื่อรายใหญ่และเอสเอ็มอีจะเป็นตัวเลขหลักเดียว ส่งผลให้ฐานสินเชื่อรายย่อยของธนาคารปรับเพิ่มขึ้น"นางเยาวลักษณ์กล่าว
ด้านนายวีระพันธ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)กล่าวต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของธนาคารว่า การที่การเจรจาซื้อ GECAL ได้ใช้เวลานานนั้น เนื่องจากทางจีอี แคปปิตอล ที่สหรัฐอเมริกาต้องการขายในราคา 20,000 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารต้องการซื้อในราคา 16,000 ล้านบาท และในที่สุดก็ตกลงในราคา 17,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าพอใจและเป็นราคาเดียวกับที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเป็นผู้กำหนด
ทั้งนี้ GECAL ถือว่าเป็นบริษัทที่ให้ผลตอบแทนดี และการที่จีอีแคปปิตอลตกลงขาย GECAL ในครั้งนี้ เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก คือ เป็นไปตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กำหนดให้สถาบันการเงินถือหุ้นได้ในสถาบันการเงินเดียว และจีอีแคปปิตอลถือหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา 33 % ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าการถือหุ้นใน GECALในสัดส่วน 100 % และการขายหุ้นในครั้งนี้ส่งผลดีต่อจีอี แคปปิตอลเพราะราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
"จากนี้จนถึงสิ้นปีหรือปีหน้าถ้าการเมืองไม่นิ่ง เศรษฐกิจฟุบ มีความเสี่ยงเกิดขึ้นแน่ ซึ่งการเข้าไปซื้อหุ้น GECAL ในครั้งนี้ ก็ถือว่ามีความเสี่ยง แต่เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเหนื่อยน้อยกว่าการที่ไปปล่อยสินเชื่อรายเล็กรายย่อยให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจีอี GECAL ได้ทำธุรกิจในประเทศไทยมา 15 ปี มีทีมงานที่ดีซึ่งการที่ธนาคารไปซื้อในครั้งนี้ จะได้มาพร้อมกับทีมงานและส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ขึ้นมาเท่ากับเบอร์ 1 คือ ธนาคารธนชาตที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 15-20 % ของตลาด ขณะที่ GECAL มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 19-20 %"ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
|
|
|
|
|