Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน27 กันยายน 2550
SMEอาการหนักขาดสภาพคล่อง ธพว.อัดเงินสกัดหนี้เสีย             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย

   
search resources

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
SMEs




นายพงษ์ศักดิ์ ชิวชรัตน์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารมีสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ผ่านมากว่า 40 % ของสินเชื่อรวมทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทางธนาคารสามารถ ดำเนินการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลของเอสเอ็มอีแบงก์ ไปได้จำนวน 3,000-4,000 ล้านบาท โดยการปรับลดหนี้เอ็นพีแอลในครั้งนี้ สืบ เนื่องมาจากการปรับนโยบายและบทบาทของแบงก์ที่มีการเข้าหาลูกค้ามากขึ้น และคอยให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารจัดการ ในกรณีที่ลูกค้าไม่สามารถนำเงินมาชำระให้ทางแบงก์ได้

ทั้งนี้ จากการทำงานเชิงรุกของธนาคาร มั่นใจว่ายอดเอ็นพีแอลจนถึงสิ้นปี 2550 จะสามารถลดลงได้เหลืออยู่ในสัดส่วนประมาณ 30% หรือ18,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การที่เอ็นพีแอลจะลดลงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศด้วย โดยในปี 2550 ได้มีการตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อ อยู่ที่ 10-15% วงเงิน 30,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะทำได้ใกล้เคียงเป้าหมาย

โดยขณะนี้ปล่อยสินเชื่อได้แล้วกว่า 20,000 ล้านบาท สำหรับปัญหาที่ธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ประสบอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่คือ การขาดสภาพคล่อง อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯพร้อมเข้าไปช่วยเหลือ เพราะผู้ประกอบการยังมั่นใจในการทำธุรกิจเต็มที่

ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับลดดอกเบี้ย 0.5 % เชื่อว่าดอกเบี้ยไทยยังคงที่ หรือลดลง 0.25-0.5 % และการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ก็มีมุมที่เป็นประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรได้ และเชื่อว่าปี 2551 ดอกเบี้ยจะขยับขึ้น และหากจำเป็นต้องกู้เงิน ทางธนาคารคิดว่า ผู้ประกอบการควรที่จะพิจารณากู้เงินระยะยาว และพยายามอย่าลงทุนเกินตัว รอให้ได้รัฐบาลใหม่ บรรยากาศการลงทุนในประเทศน่าจะดีขึ้น

"ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้หลายคนจะมองว่าเหนื่อย แต่ตนก็ยังเชื่อมั่นในตัวของผู้ประกอบการที่มีใจเต็มร้อย ที่พร้อมจะต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงอัตราการลดเอ็นพีแอลของเอสเอ็มอีแบงก์ที่มีเปอร์เซ็นต์ลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดจากการให้ความร่วมมือของลูกค้าธนาคาร เป็นอย่างดี ซึ่งตนเชื่อมั่น หากพฤติกรรมของลูกค้าเป็นเช่นนี้ จะทำให้เอ็นพีแอลของแบงก์ลดลงได้"

นายไสว บุญมา อดีตนักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก กล่าวต่อภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันว่า เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้ผู้ประกอบการตามไม่ทัน ดังนั้น จะต้องติดตามข่าวสารและปรับตัวอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถอยู่รอดได้ สำหรับปัญหาหนี้เสียในส่วนของสินเชื่อประเภทด้อยมาตรฐาน (ซับไพรม์) ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เชื่อว่าจะยังขยายตัวต่อเนื่องไปอีกหลายปี และจะส่งผลกระทบไปยังกำลังซื้อของสหรัฐฯ เนื่องจากในปัจจุบัน ตลาดสหรัฐฯคิดเป็นสัดส่วน 25-30 % ของตลาดทั่วโลก เมื่อความต้องการของสหรัฐฯลดลง ทั่วโลกย่อมได้รับผลกระทบแน่นอน ดังนั้น ธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยควรเตรียมตัวในการหาช่องทางการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ ๆ เพื่อชดเชยตลาดสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาซับไพรม์ จะส่งผลกระทบต่อภาพเศรษฐกิจไทย แต่คาดว่าความรุนแรงจะไม่หนักเท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เนื่องจากผู้ประกอบการไทยได้รับทราบข้อมูลข่าวสารกันอย่างแพร่หลาย และได้มีการเตรียมตัวที่จะรับปัญหานี้แล้ว แต่ในขณะที่วิกฤตปี 2540 ทุกคนไม่ได้เตรียมตัว ทำให้ภาพธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอี ต้องปิดกิจการลงหลายราย

"ปัญหาซับไพรม์อยากให้ผู้ประกอบการมองเป็นโอกาส และมองปัญหาในทางกลับกัน ซึ่งเชื่อว่า จะทำให้วิกฤตนี้คลี่คลายลงไปได้ ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการควรจะต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้า และหาทางออกให้กับธุรกิจตนเองโดยเฉพาะการบริหารจัดการให้ธุรกิจอยู่รอด ผมอยากให้ผู้ประกอบการแบ่งเวลาเพื่อตัวเองในการติดตามข้อมูลข่าวสารเพื่อจะได้ปรับตัวได้ทันถ่วงนี้ ส่วนการจะหวังพึ่งตลาดภายในประเทศนั้น คงเป็นเรื่องลำบากเช่นกัน เพราะหากทั่วโลกมีปัญหา ตลาดในประเทศก็จะไม่เติบโตเช่นกัน ทั้งนี้ ไทยยังมีปัญหาหนี้สินครัวเรือน ปัจจัยการเมือง และปัญหาพลังงานที่ราคาสูงขึ้น และความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติจากภาวะโลกร้อนที่อาจทำให้เกิดปัญหาอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ดังนั้น เอสเอ็มอีจะต้องพยายามปรับตัวเองให้ได้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us