Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2535
"รัฐกำลังทำลายหลักกฎหมายแพ่งและอิสรภาพของศาล"             
 


   
search resources

News & Media
Law




ในปัจจุบันนี้สื่อมวลชนได้มีอิทธิพลในทางความคิด และทัศนะคติของประชาชนเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรือสื่อใด ๆ ก็ตามซึ่งอาจทำให้มุมมองของผู้รับสื่อนั้นเปลี่ยนไปในทางบวกหรือลบตามสิ่งที่เสนอ

ความขัดแย้งและการกระทบกระทั่งระหว่างสื่อมวลชนและผู้ถูกเป็นข่าวไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง, ข้าราชการ, ผู้มีอำนาจวาสนาหรือประชาชนทั่วไป เกิดขึ้นเสมอในทุกยุคทุกสมัยยังผลให้มีการตรากฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ ในการเสนอข่าวคือ ป.ร. 42 ขึ้นในสมัยรัฐบาลเผด็จการ แต่ก็ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว

แต่ก็มีกฎหมายที่จำเป็นต้องมีโดยเป็นกฎหมายที่คุ้มครองประชาชนทั่ว ๆ ไป จากการใช้สิทธิเสรีภาพอันเกินขอบเขตของสื่อมวลชนจนก่อให้เกิดความเสียหาย คือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 และมีกฎหมายที่ใช้เยียวยาความเสียหายต่อชื่อเสียงของประชาชนในการเสนอข่าวอันเป็นเท็จ ซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 438

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการนำเสนอกฎหมาย 2 ฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติร่าง พ.ร.บ. แรกคือ ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาในหมวดความผิดต่อชื่อเสียงโดยเฉพาะความผิดฐานหมิ่นประมาท

โดยแก้ไข 2 มาตราหลักคือ แก้ไขมาตรา 326 โดยเพิ่มโทษการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดากับบุคคลธรรมดาให้สูงขึ้นแต่สิ่งที่สำคัญก็คือ การแก้ไขมาตรา 328 โดยให้ยกเลิกมาตรา 328 เก่า และใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียงหรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท"

มาตราที่กล่าวถึงเป็นมาตรการหมิ่นประมาทโดยสื่อมวลชนให้มีโทษสูงขึ้นโดยมีระวางโทษสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท คือศาลมิอาจตัดสินให้จำคุกหรือปรับเพียงอย่างเดียว ศาลต้องลงโทษโดยจำคุกและปรับแต่ความผิดฐานหมิ่นประมาทในทางอาญาก็อยู่บนหลักการเดิมคือ ไม่ว่าการใส่ความนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม หากเป็นการทีทำให้ผู้ถูกใส่ความถูกดูหมิ่นเกลียดชังก็จะไม่เป็นความผิดในฐานนี้ยกเว้นการใส่ความนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

ในทางแพ่งก็มีการแก้ไขโดยมีร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2535 แก้ไขเฉพาะ 2 มาตรา คือ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 438 ซึ่งว่าด้วยหลักการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด โดยเพิ่มเติม "ภายใต้บังคับ 447 ทวิ" และมาตรา 447 ทวิ ก็ได้บัญญัติว่า "มาตรา 447 ทวิ ความเสียหายตามมาตรา 423 วรรคหนึ่งถ้าเป็นการกระทำโดยการโฆษณาด้วยหนังสือพิมพ์วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือด้วยสื่อมวลชนอย่างอื่นให้ศาลกำหนดให้เท่ากับเงินจำนวนยี่สิบเท่าของอัตราโทษปรับขึ้นสูงที่กำหนดไว้ในมาตรา 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเว้นแต่จะมีการพิสูจน์ความเสียหายได้มากกว่านั้น"

ซึ่งในมาตรา 438 เดิมได้บัญญัติว่า "ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้ได้สถานใดเพียงใดนั้นให้อ้างวินิจฉัยสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด" อันเป็นการบัญญัติให้สอดคล้องกับหลักนิติประเพณีซึ่งบัญญัติใช้มาเป็นเวลาหลายพันปีคือ หลักสินไหมทดแทนต้องพิจารณาจากพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดและต้องดูความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับจริงในทางแพ่ง เช่น เสียหาย 100 บาท ก็ต้องได้รับค่าสินไหมทดแทน 100 บาท จะรับ 110 บาทมิได้ เพราะมิฉะนั้นแล้วจะเกิดการค้าความกันขึ้น

แต่ในมาตรา 447 ทวิ ได้ให้ศาลกำหนดค่าเสียเท่ากับเงินจำนวน 20 เท่า ของอัตราโทษปรับขั้นสูงที่กำหนดไว้ในมาตรา 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญาคือ 200,000 บาท เป็น 4,000,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราขั้นต่ำที่ศาลกำหนด และศาลยังสามารถที่จะกำหนดค่าสินไหมมากกว่าสี่ล้านบาท หากพิสูจน์ได้ว่าผู้เสียหายได้เสียหายเกินกว่านั้นซึ่งเป็นช่องทางในการค้าความได้เป็นอย่างดี

ผู้ถูกหมิ่นประมาทไม่จำเป็นจะต้องพิสูจน์ถึงความเสียหายที่ตนได้รับจริง เพียงแต่ถูกสื่อมวลชนหมิ่นประมาทก็ได้ค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนสี่ล้านบาทแล้ว

จากหลักการและเหตุผลในการร่าง พ.ร.บ. แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งฉบับนี้ ได้มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขดังนี้ "ได้มีกระทำความผิดฐานความผิดนี้มาก ซึ่งโทษจากการกระทำความผิดมิได้กำหนดให้เหมาะสมกับความเสียหายทำให้ผู้กระทำความผิดไม่เกรงกลัวต่อบทบัญญัติกฎหมาย สมควรจะกำหนดค่าเสียหายขั้นต่ำไว้" จะเห็นได้ว่าหลักการนี้เป็นหลักการที่จะให้ผู้กระทำความผิดเกรงกลัวต่อบทบัญญัติกฎหมายจึงกำหนดค่าเสียหายขั้นต่ำไว้ ซึ่งเป็นแนวคิดของกฎหมายอาญา โดยการสร้างความเสียหายเมื่อกระทำความผิด (PUNITIVE DAMAGE) ซึ่งขัดต่อหลักของกฎหมายละเมิดที่ว่า การชดใช้ค่าเสียหายนั้นชดใช้ให้แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น บทบัญญัติมาตรา 447 ทวิ จึงเป็นกฎหมายแพ่งที่นำแนวคิดกฎหมายอาญามาใช้ร่วมกัน จึงทำให้หลักกฎหมายแพ่งของไทยถูกทำลาย

ไม่ควรที่จะมีการเชื่อมโยงระหว่างค่าเสียหายทางแพ่งตามมาตรา 447 ทวิ กับกฎหมายอาญามาตรา 328 คือ ให้ศาลกำหนดค่าเสียหายให้เท่ากับจำนวนเงินยี่สิบเท่าของโทษปรับขั้นสูง ที่กำหนดในมาตรา 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเพราะเหตุว่าประมวลกฎหมายแต่ละฉบับไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง, วิธีพิจารณาความอาญาหรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์, ประมวลกฎหมายอาญา ต่างบัญญัติด้วยเหตุผลและหลักการที่แตกต่างกันความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในกฎหมายแตกต่างกัน เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นการบัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน ซึ่งมีความเท่าเทียมกัน

แต่ประมวลกฎหมายอาญาเป็นการบัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน ซึ่งรัฐจะเป็นผู้มีอำนาจในการบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายและสามารถลงโทษได้ในกรณีที่มีผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย ประมวลกฎหมายต่าง ๆ จึงต้องมีเอกภาพแยกออกจากกัน การบัญญัติกฎหมายหมิ่นประมาทดังกล่าวจึงเป็นการไม่ถูกต้อง

ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 447 ทวิ ได้กำหนดโทษสูงกว่าค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากฐานความผิดดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งตามกฎหมายอาญาทั่ว ๆ ไป เจ้าพนักงานเช่น ตำรวจ, นายอำเภอ, ข้าราชการ ที่ปฏิบัติตามหน้าที่จะต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายมากกว่าบุคคลธรรมดาเพราะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นประโยชน์กับรัฐนั้น ๆ

จากข้อสังเกตบางประการในขั้นต่ำทำให้เห็นได้ว่าพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่ง และประมวลกฎหมายอาญาทั้งสองฉบับ ทำให้ศาลขาดอิสระในการพิจารณาคดีและมีการกำหนดให้ใช้ดุลยพินิจโดยไม่มีความแตกต่างและยังทำลายหลักกฎหมายแพ่ง เช่น กำหนดค่าเสียหายเป็น PUNITIVE DAMAGE, ขัดต่อหลักที่ต้องดูความเสียหายจากความเป็นจริงและก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการชดใช้ค่าเสียหาย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us