|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
จับตานักลงทุนต่างชาติเริ่มรีเทิรน์เก็บหุ้นไทย หลังซื้อสุทธิอีก 2.1 พันล้าน กูรูเตือนระวังตกเป็นเหยื่อในการหาทุนเพื่อใช้ในการเลือกตั้ง โบรกเกอร์ลุ้น 2 เดือนก่อนเลือกตั้งจุดพลุตลาดหุ้น ขณะที่ประธานตลาดหุ้น ยอมรับครั้งแรกปีนี้พลาดเป้าบจ. 64 บริษัท แอบลุ้นยื่นไฟลิ่งทัน 20-30 บจ.หลังออกนโยบาย fast track ด้านก.ล.ต.หนุนเพิ่มคุณภาพบจ. ตั้งเป้าปีนี้ทุกบริษัทใน SET 100 คะแนนจัดประชุมผู้ถือหุ้นต้องเกิน 80 คะแนน
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (24 ก.ย.) ตลาดหุ้นไทยยังได้รับอานิสงส์จากการกลับเข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ทั้งกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ของนักลงทุนต่างประเทศทำให้ตลอดทั้งวันดัชนีแกว่งตัวอยู่ในแดนบวก โดยดัชนีปรับตัวขึ้นไปปิดที่ 836.51 จุด เพิ่มขึ้น 5.00 จุด หรือ 0.60% ขณะที่จุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 842.70 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 831.39 จุด มูลค่าการซื้อขาย 23,828.34 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,151.93 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 396.97 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,548.90 ล้านบาท
แหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า การกลับเข้ามาซื้อสุทธิของยอดซื้อสุทธิในส่วนของนักลงทุนต่างชาติ อาจจะสะท้อนได้ว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มคลายกังวลต่อปัจจัยลบที่กระทบตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับความมั่นใจต่อสถานการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจของประเทศไทยทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการเข้ามาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปกติในช่วงก่อนการเลือกตั้งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการเข้ามาหากำไรจากการลงทุนของกลุ่มทุนทางการเมือง เพื่อนำไปใช้ในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในช่วงดังกล่าวจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากเพราะถือได้ว่าเงินทุนดังกล่าวไม่ได้สะท้อนการไหลเข้ามาลงทุนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ยอดการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในปัจจุบันไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากเป็นการคำนวณจากยอดที่สั่งซื้อขายมาจากต่างประเทศเท่านั้นซึ่งอาจจะเป็นนักลงทุนไทยที่ไปเปิดบัญชีในต่างประเทศก็ได้
"เราเริ่มเห็นสัญญาการเข้ามาซื้อของนักลงทุนต่างชาติบ้างแล้ว แต่มันอาจจะไม่ได้สะท้อนความจริงเลยเพราะเป็นเรื่องที่ยากที่จะสรุปว่าเป็นการซื้อของนักลงทุนต่างชาติจริงหรือไม่ นักลงทุนต้องระวังด้วยว่าจะตกเป็นเหยื่อของขบวนการหากำไรเพื่อนำไปใช้ในการเลือกตั้งหรือไม่ ที่สำคัญอย่าเชื่อเพียงแค่ว่าใกล้เลือกตั้งตลาดหุ้นจะเป็นช่วงตลาดกระทิงและจะกลับมาเป็นตลาดหมีหลังการเลือกตั้ง"แหล่งข่าวกล่าว
เชื่อเลือกตั้งจุดพลุหุ้น
นายปรเมศร์ ทองบัว นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นในสิ้นปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 900 จุด เนื่องจากก่อนการเลือกตั้งหรือประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ดัชนีจะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจุบันเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังไหลเข้ามาไม่มากนัก
ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงมีการคาดการณ์ว่าภายหลังจากที่มีการเลือกตั้งแล้วภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศจะปรับตัวดีขึ้นได้ในช่วงต้นปีหน้า ดังนั้นจึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนด้านจิตวิทยาการลงทุนได้
สำหรับราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงนั้น ส่วนตัวมองว่าในระยะสั้นยังคงมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ แต่ในระยะยาวคาดว่ามีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงเนื่องจากการที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงในช่วงนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานที่เกิดจากความต้องการใช้ของผู้บริโภคในระยะยาว โดยในระยะยาวแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินและอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลดีหากต้นทุนภาคธุรกิจลดลง
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่าก่อนการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยแนวโน้มทางเทคนิคภายใน 2 เดือนต่อจากนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบที่ระดับ 895 จุดได้ หากยังมีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง จากที่ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีแรงซื้อสุทธิเข้ามาบ้างแล้ว
“ก่อนการเลือกตั้งเรามองดัชนีตลาดหุ้นน่าจะขยับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบ 895 จุด หากมีเม็ดเงินไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเรามองแนวต้านทางเทคนิคที่ 936 จุด”
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นในวันนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ เนื่องจากเชื่อว่ายังคงมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกันในสัปดาห์นี้ยังคงต้องติดตามการประกาศตัวเลขยอดขายบ้านมือสองและยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐฯ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวอาจจะออกมาไม่ค่อยดีมากนัก ประกอบกับการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบโลกด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน โดยประเมินแนวรับที่ 832 จุด และแนวต้านที่ 845 จุด
"ปกรณ์"ยอมรับพลาดเป้า64บจ.
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าคาดว่าถึงสิ้นปี2550 นี้จะมีบริษัทที่ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)ประมาณ 20-30 บริษัท และจะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) และ ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ( mai) ภายในปี 2551 นี้หลังจากที่ได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการสรรหาบริษัทจดทะเบียนขึ้นมาและจากที่มีการใช้นโยบาย fast track เพื่อลดขั้นตอนการเข้าจดทะเบียนให้รวดเร็วมากขึ้น
ทั้งนี้ เป้าหมายเดิมที่ตลาดหลักทรัพย์คาดว่าจะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ(mai)จำนวน 64 บริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในปีนี้นั้นขณะนี้ต้องยอมรับว่าคงไม่สามารถทำตามแผนเดิมได้ ขณะเดียวกันระยะเวลา 3 เดือนที่เหลือจากนี้จะมีบริษัทจดทะเบียนเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์จำนวนเท่าไหร่คงต้องรอประเมินอีกครั้ง
ส่วนกรณีการเพิ่มจำนวนหุ้นหมุนเวียน(ฟรีโฟลต)ให้กับบริษัทจดทะเบียนนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนแต่ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับอุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้วและในโอกาสต่อไปอาจจะมีการนัดหมายบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามาเจรจาในส่วนของรายละเอียดต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนได้
ก.ล.ต.หนุนเพิ่มคุณภาพบจ.
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า คุณภาพของการจัดประชุมผู้ถือหุ้นเป็นภาพสะท้อนความใส่ใจของบริษัทจดทะเบียนในการให้ความสำคัญแก่ผู้ถือหุ้นของตน ก.ล.ต. และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยจึงพยายามผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนดำเนินการเรื่องนี้ให้มีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน
ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2551 ทุกบริษัทในกลุ่ม SET 100 จะต้องได้คะแนนรวมเกิน 80 คะแนน โดยระหว่างนี้จะเน้นอบรมบริษัทจดทะเบียนให้มีความเข้าใจและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการประเมิน และโดยที่สมาคมได้ร่วมกับ ก.ล.ต. ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่ง ก.ล.ต. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าสมาคมมีความพร้อม ดังนั้น ในปี 2552 ก็จะมอบหมายให้สมาคมเป็นผู้ดำเนินโครงการนี้เองทั้งหมด
“ เราพยายามส่งเสริมให้ผู้ลงทุนรายย่อยไปใช้สิทธิออกเสียงและซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ กับบริษัทในที่ประชุมกันให้มาก ซึ่งก็ได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นในปีที่ผ่านมา และเพื่อให้ผู้ลงทุนมีหลักคิดวิเคราะห์ในการตัดสินใจใช้สิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อปกป้องประโยชน์ของตนเองอย่างเต็มที่”นายธีระชัยกล่าว
|
|
 |
|
|