Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน24 กันยายน 2550
คาดธุรกิจประกันชีวิตปี51โต10% เน้นขายผ่านแบงก์-ดบ.ขาลงหนุน             
 


   
search resources

Insurance




รัฐ-เอกชนประสานเสียงธุรกิจประกันชีวิตปี 51ยังขยายตัวได้ดีคาดโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยผ่านช่องทางการขายผ่านธนาคารเป็นหลัก ส่วนช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาโต 17% โดยการประกันประเภทกลุ่มรุ่งสุดมียอดเพิ่ม 30% แนะผู้ประกอบการเน้นให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและการบริการที่ดีมีความซื่อสัตย์ ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

นางสาวชำเลือง ชาติสุวรรณ นักบริหาร 9 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิต ปี 2551 ว่า การเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในปี 2551 นั้นมีแนวโน้มจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10 % อย่างแน่นอน โดยช่องทางการขายผ่านธนาคาร (Bancasurance) จะเป็นช่องทางที่ส่งผลให้เบี้ยประกันของระบบเติบโตได้อย่างดี

ทั้งนี้ ปัจจัยที่สำคัญของการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตอยู่ที่การให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและการให้บริการที่ดีมีความซื่อสัตย์ จะช่วยผลักดันให้ผู้เอาประกันภัยและประชาชนได้รับประโยชน์จากความคุ้มครองของระบบประกันชีวิต ทำให้ประชาชนมีมั่นใจในการทำประกันซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตและมีอัตราการขยายตัวอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

สำหรับภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิตในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมานั้น ธุรกิจมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 17% โดยประเภทของการทำประกันชีวิตที่ขยายตัวค่อนข้างมาก ได้แก่ การประกันประเภทกลุ่มมีการขยายตัวถึง 30% และการประกันประเภทสามัญที่มีการขยายตัว 20% จึงทำให้ภาพรวมของธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของยอดขายประกันชีวิตประเภทสามัญเบี้ยรับปีแรกนั้นมาจากการขายผ่านช่องทางตัวแทน 60.3% Bancasurance 31.8% เทเล มาร์เก็ตติ้ง 4.5% และผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น ไดเร็คเมล์ 3.4%

"การที่ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกค่อนข้างมากและโยงไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำนั้นทำให้ประชาชนต้องเลือกประเภทของการออมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดและไม่มีการใช้จ่ายเงิน รวมถึงความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่หากเกิดขึ้นได้จริงก็จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาอีกครั้งนั้นทำให้ประกันชีวิตจึงมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ดีขึ้น เพราะนอกจากความคุ้มครองเมื่อเสียชีวิตแล้ว ยังมีส่วนของเงินออมเก็บสะสมไว้เมื่อยังคงมีชีวิตอยู่ โดยได้รับผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย" นางสาวชำเลือง กล่าว

นางสาวชำเลือง กล่าวอีกว่า ช่องทางการขายผ่าน Bancasurance และเทเล มาร์เก็ตติ้งนั้น เป็นช่องทางที่มีการเติบโตสูง เพราะในปัจจุบันเบี้ยประกันรับปีแรกที่จำหน่ายผ่านช่องทางธนาคารพาณิชย์มีการเติบโตขึ้นมาก โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 30% ของเบี้ยประกันชีวิตทั้งระบบ ส่วนเทเล มาร์เก็ตติ้งนั้น เป็นอีกช่องทางที่คาดว่าจะสามารถทำเบี้ยประกันชีวิตให้แก่ธุรกิจได้ค่อนข้างมากในปี 2551 ถึงแม้ในระยะเริ่มต้นจะมีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง แต่ทางบริษัทประกันชีวิตได้พัฒนาและปรับปรุงจนดีขึ้น อีกทั้งกรมการประกันภัยได้เข้ามาดูแล โดยบริษัทประกันชีวิตจะต้องส่ง Script คำเสนอขายให้กับกรมการประกันภัยพิจารณาก่อน รวมทั้งข้อมูลที่จำเป็นที่บริษัทประกันชีวิตจำเป็นต้องรับรู้จากประชาชนเพื่อประกอบการพิจารณารรับประกันชีวิตเพื่อเป็นการปกป้องและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนในเบื้องต้นซึ่งทำให้ช่วยลดข้อขัดแย้งระหว่างผู้เอาประกันและบริษัทประกันชีวิตได้

นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวในการเสวนาหัวข้อ "โอกาสและอุปสรรคของช่องทางการขายใหม่"ว่า ธุรกิจประกันชีวิตยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากเนื่องจากคนไทยซึ่งมีอยู่ประมาณ 65 ล้านคน มีอัตราของผู้ที่ทำประกันชีวิตอยู่เพียง 17% เท่านั้น จึงยังมีช่องทางการทำตลาดอยู่มาก โดยจะทำผ่านช่องทางตัวแทนเป็นหลัก และจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถนำรายได้ค่าธรรมเนียมในการขายประกันบันทึกเป็นรายได้นั้นทำให้ธนาคารมีการรุกตลาดในส่วนนี้อย่างจริงจัง อีกทั้งในส่วนของเทเลมาร์เก็ตติ้งและไดเร็คเมล์นั้นยังถือว่าไปได้ดี และการที่กระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุธุรกิจประกันชีวิตไว้ในหลักสูตรนั้นทำให้ประชาชนคนไทยมีความเข้าใจประกันชีวิตว่ามีความสำคัญอย่างไรมากขึ้นด้วย

ด้านนายบัณฑิต เจียมอนุกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทไทยพาณิชย์ นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร หรือ Bancasurance นั้นมีบทบาทสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตเป็นอย่างมาก โดยในสิ้นเดือนมิถุยายนปีนี้ธุรกิจประกันชีวิตในส่วนของเบี้ยประกันรับปีแรกมีการเติบโตถึง 43 % ซึ่งในส่วนของ Bancasurance มีการเติบโตถึง 98 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 28 % ของช่องทางการจำหน่ายทั้งหมด ซึ่งทิศทางของช่องทางนี้ยังค่อนข้างสดใส และมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาโดยตลอด เพราะฐานลูกค้าธนาคารจำนวนมากยังไม่ได้มีการถือกรมธรรม์ประกันชีวิต ดังนั้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็นถึงการพัฒนาทางการตลาดและรูปแบบกรมธรรม์ที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าของธนาคาร   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us