"ปูนใหญ่" เผยแผนระยะยาว " ปั้น "ซิเมนต์ไทย โฮมมาร์ท" เน้นจับกลุ่มลูกค้ารายย่อย วางเป้า10ปีกินรวบลูกค้าบ้านสร้างเอง พร้อมผนึกธุรกิจในเครือ ซีแพค - ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง SCG ผสานความครบวงจร ลุยเปิด ซิเมนต์ไทยโฮมมาร์ท ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Total Home Solution" 60-70 สาขา ใน5ปีข้างหน้า พร้อมเสริมทีมบุคลากรบริการช่างรับเหมาติดตั้งวัสดุ เพิ่มพนักงานขาย ให้ความรู้ ปรึกษาปัญหาบ้าน ชูคอนเซ็ปต์ "One Stop Service"ซื้อบ้านที่ ซีเมนต์ไทยโฮมมาร์ท หวังดันยอดรายได้ระยะยาวคาดสามารถสร้างรายได้เติบโตต่อปีไม่ต่ำกว่า 10% เผย3ไตรมาสยอดขายติดลบ3% มั่นใจทั้งปียอดขาย50,000 ล้านบาทตามเป้า
นายขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจจัดจำหน่าย (SCG Distribution) ในเครือซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า ทางกลุ่ม SCG ได้กำหนดแผนระยะยาว ตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปี2560 หรือประมาณ 8-10 ปีจากนี้ไป กลุ่มธุรกิจSCGจะเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร่าง และตกแต่งบ้านครบวงจร ที่สามารถให้บริการลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้าน ตกแต่งบ้าน หรือซ่อมแซมบ้านได้อย่างครบวงจร หากลูกค้าต้องการสร้างบ้าน เพียงแค่เดินเข้ามาในร้านค้าของ "ซิเมนต์ไทย โฮมมาร์ท" ก็สามารถสร้างบ้านได้ทันที
โดยตามแผนระยะ10ปี กลุ่มSCG จะเพิ่มบริการทั้งในส่วนของ สินค้า วัสดุก่อสร้าง และวัสดุตกแต่ง รวมถึงระบบการก่อสร้าง ทั้งในเรื่องระบบก่อสร้างหลังคา และโครงสร้างด้านอื่นๆที่เป็นส่วนประกอบของตัวบ้าน นอกจากนี้ ยังจะมีทีมบริการรับเหมาติดตั้งวัสดุก่อสร้าง ที่ลูกค้าเข้ามาซื้อของในร้านค้าซิเมนต์ไทย โฮมมาร์ท และต้องการช่างในการติดตั้งวัสดุก่อสร้างนั้น ซึ่งภายในร้านค้า ซิเมนต์ไทย โฮมมาร์ท จะมีทีมช่างคอยให้บริการลูกค้าอยู่
ทั้งนี้ ในช่วงระยะ 5 ปีแรก กลุ่มSCG จะมีการพัฒนาบุคลากร ด้านช่าง และพนักงานขาย พนักงานให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า และการออกแบบ รวมถึงการให้คำปรึกษาปัญหาเรื่องต่างๆ ในการสร้างบ้าน โดยทีมงานบุคลากรต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นนี้ บริษัทจะมีการเสริมบริการดังกล่าวเข้าในร้านค้า "โฮมมาร์ท" ในทั่วประเทศ ในเบื้องต้นจะผลักดันให้ได้60-70 สาขาก่อน จากเดิม ที่บริษัทมีร้านค้าซิเมนต์ไทย โฮมมาร์ททั่วประเทศ 300 ร้านค้า แบ่ง เป็น ซิเมนต์ไทย โฮมมาร์ทแม็กซ์ 80 สาขา และ ซิเมน์ไทยโฮม มาร์ท บลิวเดอร์ 220 สาขา
โดยสาขาที่มีการบริการและทีมงานต่างเข้าไปนี้ จะมีการปรับรูปแบบให้เป็นร้านค้าขนาดใหญ่ขึ้น พื้นที่เริ่มต้น 3,000-6,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) ขึ้นไป ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Total Home Solution" ที่มีบริการครบวงจร โดยทางเจ้าของร้านค้าจะเป็นผู้ลงทุนสัดส่วน 70% และSCG สนับสนุนให้อีก 30% และหากเป็นไปตามแผนระยะยาวที่วางไว้ดังกล่าว จะทำให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น10% ต่อปี เป็นอย่างต่ำ
" ในขณะที่ร้านค้า ซิเมนต์ไทย โฮมมาร์ท เตรียมขยายบริการและเพิ่มวัสดุก่อสร้างรวมถึงวัสดุตกแต่งต่างๆ ทางด้านบริษัทในกลุ่มเครือซิเมนต์ไทย อาทิ กลุ่ม ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ที่รับผิดชอบโดยนาย พิชิต ไม้พุ่ม จะเป็นผู้พัฒนาระบบการก่อสร้างเข้ามามาเสริม อาทิ ระบบหลังคา ระบบการติดตั้งกระเบื้องเซรามิค ส่วนสินค้าปูนซิเมนต์ ทางด้านนายอรรณพ เตกะจรินทร์" ซึ่งดูแลในส่วนนี้ จะมีการพัฒนารูปแบบการขายปูนซีเมนต์ให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายย่อยมากขึ้น ที่ผ่านมาได้มีการพัฒนานำเอารถขนปูนสำเร็จรูปขนาดเล็ก เข้ามาใช้เพื่อเข้าถึงพื้นที่ที่ลึกและอยู่ในซอยขนาดเล็กได้มากขึ้น"
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า กลุ่มSCG จะพยายามที่จะเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างและวัสดุตกแต่งที่ครบวงจรทั้งหมด แต่ระบบการก่อสร้างที่พัฒนาขึ้นมานั้น จะต้องสนับสนุน(ซัปพอร์ต)กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง บริษัทพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (ดีเวลลอปเปอร์) ซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัท ไม่ใช่แข่งขันกับลูกค้า ดังนั้น จะมีบางส่วนที่บริษัทไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ อาทิ ระบบโครงสร้างฐานราก และเสาคานต่างๆ
นายขจรเดช กล่าวว่า ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจจัดจำหน่าย เครือซิเมนต์ไทย มีรายได้หลักๆ มาจาก3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.กลุ่มซิเมนต์ไทย โฮมมาร์ท 2.กลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายต่างประเทศ และ 3.กลุ่มธุรกิจระบบลอจิสติกส์ โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.2550 ) ธุรกิจในกลุ่มธุรกิจแรก มีอัตราการขยายตัวติดลบอยู่ 5% กลุ่มที่2 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น25% ในขณะที่กลุ่มที่ 3 ยังคงมีอัตราการขยายตัวคงที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่ตลาดโดยรวมในประเทศนั้น ในส่วนของโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐบาล มีอัตราการขยายตัวลดลง1-2% ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวมีอัตราการขยายตัวติดลบถึง 8%
แต่กลับพบว่า โครงการคอนโดมิเนียม มีการขยายตัวค่อนข้างมาก จากการสำรวจและเก็บข้อมูลในปัจจุบัน มีจำนวนโครงการคอนโดฯเกิดใหม่ถึง 140 โครงการ ในส่วนนี้มีการก่อสร้างไปแล้วประมาณ 50% และคงเหลืออีก 50% ยังไม่ดำเนินการก่อสร้าง ทั้งนี้ การเติบโตของโครงการคอนโดฯ จะมีส่วนผลักดันให้รายได้ในเครือสุขภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ พบว่าธุรกิจค้าปลีกหรือซุปเปอร์มอลล์ อาทิ ห้างบิ๊กซี ,คาร์ฟูร์ ,เทโก้ โลตัส ตลาดส่วนนี้มีอัตราการขยายตัวที่ดีมาก โดยในปีนี้มีจำนวนการก่อสร้างถึง 50-60 สาขา
นายขจรเดช กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาว่า บริษัทมียอดขายในประเทศรวม 37,000 ล้านบาท ลดลงประมาณ 3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี49 แต่เชื่อมั่นภายในช่วงปลายปี หากการเมืองและเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้น จะทำให้การตัดสินใจซื้อของกลุ่มผู้บริโภคในตลาดกลับมา และในส่วนของภาครัฐเอง คาดว่าจะมีการอนุมัติโครงการก่อสร้างเพิ่ม อาทิ โครงการรถไฟฟ้า การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทำให้ในช่วงปลายปีนี้ ยอดขายจะก้าวกระโดดกลับมาได้ โดยบริษัท จะพยายามสร้างยอดขายให้ถึง 50,000 -53,000 ล้านบได้ในช่วงปลายปีนี้ตามเป้าที่วางไว้ ส่วนในตลาดต่างประเทศนั้นขณะนี้บริษัทมียอดรายได้รวมที่ 30,000 ล้านบาท
|