"ทุกรัฐบาลผมจะไปติดต่อบอกว่าผมอยากแก้ปัญหาอากาศเป็นพิษ.."
นี่คือคำภิญ สุทธิพิทักษ์เจ้าของธุรกิจผลิตชนวนไฟฟ้าไม่ไหม้ไฟมูลค่า 200
ล้าน เขาติดตามปัญหาอากาศเป็นพิษจากยานยนต์มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี แม้ว่าจะต้องบริหารกิจการถึง
2 บริษัทคือบริษัทไทยซิลิคอนและบริษัทคำภิญคอร์เปอเรชั่นจำกัด แต่คำภิญบอกว่าเขามีเวลาอย่างฟุ่มเฟือยในเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เพียงแค่ระดับความสนใจเท่านั้นแต่อยู่ในขั้นที่ศึกษา
และลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังตลอดมา
คำภิญเริ่มศึกษาเรื่องมลพิษในอากาศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 ขณะนั้นปริมาณรถยนต์บนท้องถนนในกรุงเทพมหานครน้อยกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว
แต่สภาพอากาศเป็นพิษที่เกิดจากสารตะกั่วในน้ำมันเชื้อเพลิง และคาร์บอนมอนอกไซด์จากท่อไอเสียจากยานยนต์
เริ่มก่อตัวขึ้นจนอยู่ในระดับที่เรียกว่ามีปัญหาเขาในฐานะกรรมการยุวสมาคมแห่งประเทศไทยจึงผลักดันทางสมาคมฯ
ร่วมกับตำรวจจราจรรณรงค์ในเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
โดยส่วนตัวของเขาเองได้ใช้เวลาในการค้นคว้าสาเหตุที่มาของควันและมลพิษที่มาจากยานยนต์ชนิดต่าง
ๆ เขาพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง คุณภาพของเครื่องยนต์
สภาพการจราจรและผู้ขับรถ
จากการศึกษาของเขาพบว่าคุณภาพน้ำมันในเมืองไทยเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดเนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้กันอยู่ไม่ได้มาตรฐานที่กำหนด
เขายกตัวอย่างน้ำมันโซล่าสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่สั่งเข้ามาจากต่างประเทศและที่กลั่นเองในประเทศนั้น
มีคุณภาพต่ำกว่าที่มาตรฐานกำหนดไว้โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจุดวาบไฟซึ่งกำหนดไว้ที่
52 องศาเซนติเกรดและอุณหภูมิการกลั่นที่ 357 องศาเซนติเกรดแต่น้ำมันที่นำมาจำหน่ายมิได้เป็นไปตามค่านั้น
ทำให้ไขมันผสมอยู่ในน้ำมันโซล่ามากและส่งผลให้น้ำมันที่เผาไหม้ไม่หมดถูกพ่นออกมาทางท่อไอเสียกลายเป็นเขม่าควันพิษสีดำ
"เงินซื้ออากาศหายใจไม่ได้ ทุกคนต้องหายใจ นึกถึงตัวเองไม่ได้ให้นึกถึงลูกหลานถ้าเราไม่ปรับคุณภาพน้ำมันต่อไปบ้านเราจะลำบาก
บ้านเราจะมีคนพิการเยอะ มีแต่คนอ่อนแอขี้โรคโดยเฉพาะเด็ก"
คำภิญกล่าวผ่าน "ผู้จัดการรายเดือน" ไปยังผู้ค้าน้ำมันที่ไม่จำหน่ายสินค้าตามมาตราฐานที่กำหนด
รวมทั้งมาตรการของรัฐที่ควรจะเด็ดขาดในกรณีของน้ำมันเบนซินที่รัฐยังมิได้กำหนดว่าเมื่อใดจะเลิกใช้เบนซินผสมสารตะกั่วอย่างถาวร
สำหรับตัวของคำภิญตั้งแต่วัยเด็กที่คลุกคลีกับเครื่องยนต์ประมง และเปลี่ยนมาเป็นรถมอเตอร์ไซค์จนกระทั่งรถยนต์ที่เริ่มทดลองอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเพื่อวัดควันพิษจากท่อไอเสีย
ระหว่างนั้นร่างกายของเขาซึมซับพิษจากหมอกควันเหล่านั้นไปด้วย
อย่างไม่คาดคิดมาก่อนวันหนึ่งเขาพบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก
โรคที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจ
เขาบอกว่าตนเองยังโชคดีที่แพทย์ตรวจพบโรคร้ายตั้งแต่ในระยะต้น ๆ จึงมีหนทางที่จะเยียวยารักษาได้แม้จะใช้เงินไปจำนวนไม่น้อยเลย
คำภิญแสดงความห่วงใยไปถึงคนหาเช้ากินค่ำอีกจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับโรคนี้แต่ไม่มีเงินพอที่จะรักษา
"ถ้าเป็นคนจนจะทรมานมาก เสียเงินเป็นหมื่น ๆ หายแล้วต้องทาครีมเพื่อช่วยผิวที่โดนทำลายหมด
ต่อมน้ำลายในปากหายไปเลย แห้งตลอดเวลาต้องดื่มน้ำ"
นอกเหนือจากการค้นคว้าทางวิชาการเรื่องมลพิษทางอากาศจากสภาพความเป็นจริง
จนกระทั่งเขาเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า "กรุงเทพฯ กับวันร้อน"
เมื่อท้องฟ้าเป็นสีเทาเพราะเขม่าควันพิษและความเป็นไปได้ในการลดมลพิษในอากาศ"
แล้วเขายังพยายามผลักดันกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการจัดแรลลี่ลดมลพิษการร่วมกิจกรรมกับลูกเสือเพื่อช่วยในสิ่งแวดล้อมเป็นต้น
เขาให้เหตุผลในการจัดแรลลี่ที่มีมาแล้วสองครั้งว่า เป็นการชักชวนคนที่ชอบแข่งรถมาเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้อง
ก่อนการจัดแรลลี่จะมีการนัดพบปะเพื่อพูดคุยกันในระหว่างผู้เข้าร่วมถึงปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญอยู่
เช่น กรีนเฮ้าส์เอฟเฟ็ค ปัญหาเรื่องบรรยากาศชั้นโอโซนของโลก เพื่อให้แต่ละคนได้รับรู้ถึงปัญหาต่าง
ๆ และจะได้พยายามดูแลเครื่องยนต์ของตนมิให้เป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหานั้น ๆ
หลังจากแข่งรถแล้ว คำภิญมีโครงการต่อเนื่องคือชักชวนผู้แข่งรถทั้งหลายร่วมกันปลูกต้นไม้
เพื่อดูดซับเอาคาร์บอนไดออกไซด์ที่ผู้ขับขี่ก่อขึ้นและนำกำไรจากการจัดแรลลี่ไปมอบให้ลูกเสือปลูกต้นไม้
โดยส่วนตัวของคำภิญหลังจากที่เขาจบจากพาณิชย์พระนคร ได้เดินทางไปศึกษาระดับปริญญาตรีทางด้านบริหารธุรกิจที่
STATE UNIVERSITY OF SINGAPORE และได้เข้าทำงานกับบริษัทซูมิโตโม ของญี่ปุ่นเป็นเวลาเกือบสิบปี
จนกระทั่งแยกตัวออกมาทำธุรกิจของตนเอง
เส้นทางชีวิตของคำภิญอาจไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องการอนุรักษ์หรือกิจกรรมสังคมด้านอื่น
ๆ เพราะธุรกิจที่เขาบริหารอยู่ก็เป็นภาระที่หนักหนาอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าความสนใจในเรื่องปัญหารอบตัวเป็นสิ่งที่เขาถูกปลูกฝังมาแต่เป็นเรียนทุนของมิชชันนารี
โรงเรียนศรีธรรมราชวิทยา จังหวัดนครศรีธรรมราช
เมื่อเติบโตขึ้นได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศต่าง ๆ รับรู้ถึงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในต่างแดนเขาตระหนักดีกว่าตนเองควรหันกลับมาทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับบ้านเกิดเมืองนอน
โดยเฉพาะในสภาพสังคมไทยปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในช่วงเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมพาณิชย์อุตสาหกรรมที่คำภิญให้คำจำกัดความอย่างสั้น
ๆ ว่าเป็นสังคมที่มีคนส่วนใหญ่มีคุณภาพมากแต่มีคุณธรรมน้อย
"คนรวยเหมือนเทวดาเท้าไม่ติดดิน แต่ถ้านอนมองแต่ข้างบนจะเห็นแต่สิ่งสวยงาม
ลองก้มมาดูข้างล่างบ้าง น้ำครำเน่า อากาศเป็นพิษ เด็กไม่มีอาหารกิน ชาวนาล้มละลาย
ถ้าบ้านเมืองอยู่ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวยต่อกัน คุณจะอยู่ได้มั้ย ก็อยู่ไม่ได้อย่าเอาเปรียบคนจนมาก
ผมเชื่ออย่างนั้นถึงได้พยายามทำ"
คำภิญ สุทธิพิทักษ์เชื่อและปฏิบัติในสิ่งที่เขาถนัดมานานแล้ว