|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กระทรวงอุตสาหกรรมเตือนผู้ผลิตรับมือน้ำมันแพงและซับไพร์มที่ยังมีแนวโน้มเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจยาวถึงปี 2551 หั่นเป้าจีดีพีภาคอุตสาหกรรมปีนี้ขยายตัวเหลือ 4.5% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 5% หรือคิดเป็นมูลค่าที่โตลดลง 5 หมื่นล้านบาท เผยปัจจัยฉุดจีดีพีรวมลดมาจากการบริโภคในประเทศชะลอตัวหนัก ด้านกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมใช้จังหวะบาทแข็ง ปรับตัวทั้งด้านการผลิต บริหาร และการตลาด หลังประเทศเปิดเสรี
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รมช.กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากภาวะน้ำมันแพงที่สูงขึ้นถึงระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรล และปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ(ซับไพร์ม) คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมขยายตัวในอัตราที่ลดลงซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้มีนโยบายที่จะให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ปรับแนวคิดการส่งเสริมการลงทุนที่เน้นมูลค่าเพิ่มของการผลิตให้มากขึ้น พร้อมกับให้ทุกฝ่ายให้คำแนะนำการลดต้นทุนต่อวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม(SMEs) เพื่อรับผลกระทบล่วงหน้าที่คาดว่าจะต่อเนื่องในปี 2551
“ จีดีพีภาคอุตสาหกรรมปีนี้คงจะเติบโตในอัตราที่ลดลงซึ่งทางสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมหรือสศอ.ประเมินว่าจะลดลงจากเป้าหมายที่วางไว้เดิมที่คาดว่าจะโต 5% คงจะเฉลี่ยไม่ถึง 5% ซึ่งจีดีพีอุตสาหกรรมจะดูที่มูลค่าเพิ่มมาคิด ขณะที่ดัชนีอุตสาหกรรมเน้นการผลิตนั้นไตรมาส 4 คาดว่าจะขยายตัว 7.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่ขยายตัว 5.7% เนื่องจากช่วงสิ้นปีการบริโภคจะมีมากขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงสิ้นปีที่จะมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพื่อรองรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ รวมถึงโบนัสราชการออก ”นายปิยะบุตรกล่าว
นายสมชาย หาญหิรัญ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสศอ. กล่าวว่า ปี 2549 จีดีพีภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 6% และปีนี้เดิมตั้งเป้าหมายที่จะขยายตัวที่ระดับ 5 % แต่จากการที่ภาพรวม 2 ไตรมาสแรกขยายตัวเพียง 4.4% ดังนั้นครึ่งปีหลังที่เหลือจะต้องมีการขยายตัวให้ถึง 5.5% ขึ้นไปซึ่งดูแล้วภาพรวมไม่น่าจะเป็นไปได้จึงลดเป้าหมายลงคาดว่าจะขยายตัวเพียง 4.5-5%
“จีดีพีภาคอุตสาหกรรมปีนี้ที่โต 4.5% นั้นคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งเป้าเดิมโต 5.% จะมีมูลค่า 3.05 ล้านล้านบาท ซึ่งภาพรวมที่ทำให้จีดีพีลดลงเพราะการบริโภคในประเทศชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด”นายสมชายกล่าว
สำหรับปัจจัยที่จะต้องติดตามในปี 2551 คือ ปัญหาราคาน้ำมันว่าจะแพงมากน้อยเพียงใด และซับไพร์มจะส่งผลให้จีดีพีของสหรัฐอเมริกาเติบโตในระดับ 2% ตามที่สหรัฐคาดหวังได้หรือไม่ซึ่งจะมีผลต่อภาคการส่งออกไทยโดยรวมในปีหน้าเนื่องจากไทยพึ่งพิงตลาดส่งออกสหรัฐถึง 15% ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควรประกอบกับการส่งออกของไทย 1 ใน 3 ของประเทศมาจากอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบในประเทศเท่านั้น ขณะที่อุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบหลักในไทยเช่น อาหาร และสิ่งทอการส่งออกค่อนข้างได้รับผลกระทบจากภาวะบาทแข็งค่า
จี้อุตฯฉวยจังหวะบาทแข็งปรับตัวรับค้าเสรี
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า หลังจากไทยมีข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศอื่นๆ ไปแล้วนั้น สำหรับอุตสาหกรรมไทยที่ยังไม่มีการปรับตัว ขอแนะนำให้เริ่มปรับตัวได้แล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เพราะเป็นโอกาสที่จะนำเข้าเครื่องจักร หรือเทคโนโลยีในการผลิตในราคาถูก เพื่อนำมาปรับเปลี่ยน และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้ โดยแนวทางในการปรับตัวที่สำคัญมี 3 ด้าน คือ ด้านการผลิต ด้านการบริหาร และด้านการตลาด
โดยด้านการผลิต ควรปรับสายการผลิตสินค้าให้สั้นและรวดเร็ว ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ใช้เวลาในการผลิตลดลง หรือนำเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้เพื่อความรวดเร็วในการส่งมอบ รวมกลุ่มกันเป็นคลัสเตอร์ เพื่อลดต้นทุนวัตถุดิบ พัฒนาคุณภาพผลผลิตให้มีมาตรฐานเดียวกัน และนำระบบการผลิตแบบลดการสูญเสียหรือขจัดต้นทุนส่วนเกินมาใช้ เพื่อลดของเสียในการผลิต รวมถึงลดการเก็บสต็อกสินค้า และเปลี่ยนการผลิตและสินค้าให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ส่วนด้านการบริหาร ควรนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารเพื่อความรวดเร็วและประหยัดเวลา เช่น ซอฟต์แวร์โปรแกรมบัญชี โปรแกรมสินค้าคงคลัง การสร้างพันธมิตรทางการค้าและจับคู่ทางธุรกิจ พัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มพูนความรู้ สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย เรียนรู้วัฒนธรรมและภาษาในการติดต่อกับประเทศที่จะไปค้าขายด้วย รวมถึงหมั่นวิจัยด้านการผลิตหรือการตลาด และติดตามข่าวสารการค้าและการบริหารให้ทันสมัยอยู่เสมอ
ขณะที่ด้านการตลาด ควรมองหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดเดิม ส่งเสริมการขายภายในประเทศให้มากขึ้น พัฒนารูปแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนจากรับจ้างผลิตมาเป็นการผลิตที่รับออกแบบให้ด้วย สร้างตราสินค้าของตนเอง หากสินค้าไทยที่ต้องการจะเป็นแบรนด์ของโลก น่าจะพิจารณาใช้สินค้าของตนเป็นผู้สนับสนุนในกิจกรรมระหว่างประเทศ
|
|
|
|
|