Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2535
"ปราบอาชญากรรมด้วยข้อมูล"             
โดย โสภิดา วีรกุลเทวัญ สุกรานต์ โรจนไพรวงศ์
 

 
Charts & Figures

ตารางแสดงจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับหน่วยที่เชื่อมโยงเครื่องกับศูนย์ประมวลข่าวสาร
ประมาณค่าใช่จ่ายของระบบใหม่
ฐานข้อมูลกลางอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำคดีอย่างไร


   
www resources

โฮมเพจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

   
search resources

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ไพรัช พงษ์เจริญ
Computer




"อาชญากรรมกำลังซับซ้อนและรุนแรงขึ้นทุกทีเพราะ "ผู้ร้าย" นั้นพัฒนาก้าวหน้าไปมาก กรมตำรวจใน พ.ศ. นี้จึงเริ่มต้นสร้างระบบฐานข้อมูลอาชญากรรมให้ก้าวหน้าและทันสมัยเสียที โดยใช้คอมพิวเตอร์เข้าจัดการ มีแผนจะเชื่อมโยงโครงข่ายทั่วประเทศ ทั้งนี้ก็เพื่อให้งานพิทักษ์สันติราษฎร์นั้นเป็นจริง"

ความสามารถเฉพาะตัวของตำรวจไทยเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับอยู่ทั่วไปมานานแล้วว่า เก่งและมีอยู่อย่างค่อนข้างรอบด้านไม่น้อยกว่าตำรวจชาติอื่นใด หรือถ้าเปรียบเทียบกันตัวต่อตัวในการปฏิบัติงานก็อาจกล่าวได้ว่า ส่วนใหญ่มีความสามารถสูงกว่าเสียด้วยซ้ำเนื่องจากในการทำคดีต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบมักจะต้องดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยตนเอง ไม่มีเครื่องมือหรือระบบสนับสนุนมากเทียบเท่ากับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในหลาย ๆ ประเทศโยเฉพาะความด้อยกว่าทางด้านเทคโนโลยีวิทยาการทางการสื่อสาร

ถ้าพิจารณาถึงภารกิจและอำนาจหน้าที่ของกรมตำรวจตามที่ได้รับการกำหนดไว้ซึ่งมี 6 ประการอันได้แก่ 1) รักษาความสงบเรียบร้อยภายในราชอาณาจักรเฉพาะที่กฎหมายไม่ได้ระบุให้เป็นความรับผิดชอบของหน่วยอื่น 2) ป้องกันปราบปรามการกระทำผิดอาญา 3) สืบสวนและสอบสวน เพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิด 4) ร่วมมือกับหน่วยราชการอื่นในภารกิจทั้งหลายข้างต้น 5) บำบัดทุกข์บำรุงสุขและให้บริการแก่ประชาชน และ 6) ส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีกับประชาชน จะเห็นได้ว่างานทางด้านป้องกันและปราบปรามนั้นถือว่าเป็นหัวใจของงานตำรวจทีเดียว ในขณะที่ส่วนอื่น ๆ ถือได้ว่าเป็นหน้าที่อันเนื่องตามมาหรือหน้าที่รอง ๆ ลงไป

ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนเพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี เรื่องของข้อมูลมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ร่องรอยและหลักฐานจากที่เกิดเหตุคือเครื่องมือเบื้องต้น ข้อมูลต่าง ๆ จำพวกสำเนาทะเบียนบ้าน ประวัติอาชญากร ทะเบียนยานพาหนะ ฯลฯ ก็ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำหรับคลี่คลายให้เกิดความสว่าง

แต่การที่ข้อมูลทางด้านนี้ถูกเก็บกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่าง ๆ หลายหน่วย ในขั้นตอนการใช้จึงมีความยุ่งยากและประสบกับความล่าช้ามาตลอด ซึ่งไม่เป็นผลดีกับการทำงานแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้ ข่าวคราวที่เกิดขึ้นในระยะสองสามเดือนที่ผ่านมา เกี่ยวกับที่กรมตำรวจได้เริ่มพัฒนาจัดระบบฐานข้อมูลอาชญากรรมไว้ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ และมีหน่วยงานศูนย์กลาง จึงนับว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายไม่น้อย ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับ "ศูนย์ประมวลข่าวสาร" และ "พันตำรวจเอกไพรัช พงษ์เจริญ"

งานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์ของกรมตำรวจอันเป็นโครงการที่จัดทำขึ้น เพื่อขออนุมัติต่อคณะกรรมการคอมพิวเตอร์ของรัฐในการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ และเครื่องจักรเตรียมข้อมูลเพื่อทดแทนเครื่องเดิมซึ่งสัญญาเช่าจะหมดอายุลงในวันที่ 12 พฤษภาคม 2535

จุดกำเนิดของโครงการมีสาเหตุเพียงเท่านี้ แต่ด้วยเหตุว่า ในปัจจุบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับระบบข้อมูลและการสื่อสารอันถือเป็นหัวใจในงานตำรวจยังไม่สมบูรณ์และเป็นระบบมากพอ ในการเสนอจัดหาระบบเครื่องใหม่ครั้งนี้จึงมุ่งที่จะพัฒนางานด้านคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการสื่อสารด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับกับการปฏิบัติงานของกรมโดยส่วนรวม

กรมตำรวจเริ่มนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้นานมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2510 ช้ากว่าสำนักงานสถิติแห่งชาติอันเป็นหน่วยงานรัฐแห่งที่ 2 ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ไปเพียงไม่กี่เดือน พร้อมกันนั้นได้ก่อตั้งหน่วยขึ้นรับผิดชอบชื่อว่าสำนักงานสถิติกรมตำรวจ มีเลขานุการกรมตำรวจเป็นหัวหน้าสำนักงาน

เครื่องรุ่นแรกที่ใช้ในสำนักงานแห่งนี้เป็นเครื่อง IBM System 360 Model 20 เช่ามาจากบริษัทไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด โดยได้รับความสนับสนุนในเรื่องค่าเช่าจากประเทศสหรัฐอเมริกา

ตลอดเวลา 25 ปีที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนเครื่องให้ทันสมัย และเป็นการขยายขนาดของหน่วยความจำหลัก (Main Memory) มาแล้วประมาณ 4 ครั้งจนกระทั่งล่าสุดเมื่อปี 2530 ก็ได้เปลี่ยนมาใช้เครื่อง IBM 4381 Model 11 เพิ่มหน่วยความจำหลักมาเป็นขนาด 8 Mega Byte (MB) และเพิ่มหน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage) เป็น 10,080 Mega Byte แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับปริมาณงานที่ต้องทำ โดยเฉพาะเมื่อจะต้องขยายงานออกไปมากขึ้นตามโครงการใหม่นี้

สำนักงานสถิติถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ข้อมูลทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านอื่น ๆ โดยตรง แม้จะได้รับการเปลี่ยนชื่อและปรับเปลี่ยนสถานะอีกหลายครั้ง จนในที่สุดกลายเป็นศูนย์ประมวลข่าวสารมีฐานะเป็นกองกำกับการ สังกัดกองวิจัยและวางแผน แต่ภาระหน้าที่หลักนั้นก็ยังคงเดิม คือมีหน้าที่รวบรวมเก็บรักษา ประมวล วิเคราะห์ เสนอและให้บริการข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อตอบสนองงานด้านบริหารงานป้องกันปราบปรามและงานด้านกิจการพิเศษ ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนงานทั้งหมดของกรมตำรวจที่มีอยู่ 3 ลักษณะดังกล่าวตามการแบ่งส่วนราชการภายใน

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ข้อมูลที่เก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์ของศูนย์ประมวลข่าวสารนั้นเกี่ยวข้องกับด้านการบริหาร และด้านกิจการพิเศษเป็นส่วนใหญ่ได้แก่ ข้อมูลจำพวกอัตราเงินเดือน อัตรากำลังพล จำนวนยานพาหนะ ฯลฯ

"ที่นี่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์คอมพิวเตอร์โดยตรง เริ่มทำงานกันตั้งแต่เมื่อยังไม่รู้จะเอาอะไรเข้ามา ต้องวิ่งไปหางานเอามาเข้าเครื่อง ช่วงแรกก็ทำด้านการบริหารไม่ได้มองเรื่องอื่น เพราะเครื่องมือน้อย เป็นเพียงเครื่อง IBM เล็ก ๆ เป็น main frame ไม่มีตู้เทป มีแต่ตู้อ่านการ์ดอย่างเดียวอ่านโปรแกรมหรือ proof โปรแกรมก็ด้วยการ์ดเจาะรูทั้งหมดระบบ ON LINE ก็ยังไม่มี ต่อมาก็ทำด้านอื่นด้วยแต่ยังไม่ค่อยเต็มที่" พันตำรวจโทสุขสวัสดิ์ ชัชวาล สารวัตรงาน 3 ผู้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำที่หน่วยงานแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2512 เล่าถึงเนื้อหาของงาน

ส่วนงานด้านข้อมูลที่เกี่ยวกับด้านการป้องกันและปราบปรามยังไม่ได้มีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบจริงจัง ทางศูนย์ฯ มีข้อมูลเพียงเฉพาะบางส่วนเท่านั้นนอกนั้นกระจายกันอยู่ตามหน่วยงานอื่น ซึ่งไม่มีศูนย์กลางและไม่มีการเชื่อมต่อแลกเปลี่ยนกัน

การที่โครงการพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์ให้น้ำหนักกับ งานฐานข้อมูลอาชญากรรม หรือ CRIME INFORMATION SYSTEM (CIS) ขึ้นมาจึงนับว่าเป็นมิติใหม่ที่มีความหมายกว้างขวางมากแม้ว่าดูเผิน ๆ โครงการนี้เป็นเพียงเรื่องของการจัดหาระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ทดแทนเครื่องเดิมที่ใกล้จะสิ้นสุดอายุของสัญญาเช่าอันเป็นเพียงเรื่องทางเทคนิคแต่ตามเป้าหมายการดำเนินงานที่ได้วางเอาไว้ อันประกอบไปด้วยการพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร การพัฒนาบุคลากร และการเชื่อมโยงสร้างโครงข่ายคอมพิวเตอร์ จะเห็นได้ว่า โครงการนี้มุ่งพัฒนาในส่วนของเนื้อหาของระบบข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารมากกว่า และก็มิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นลอย ๆ หากมีที่มาที่หนักแน่นไม่น้อย ประมาณว่าโครงการนี้จะต้องใช้เงินถึง 583,360,000 บาททีเดียว

ในแผนกรมตำรวจแม่บทฉบับที่ 1 พ.ศ. 2530-2534 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535-2539 ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในตอนหนึ่งว่า "ลดอาชญากรรมให้ได้ผลอย่างจริงจังและรวดเร็วด้วยการเน้นที่มาตรการด้านการป้องกันเป็นหลัก และสนับสนุนด้วยมาตรการด้านการปราบปรามซึ่งจะทำควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง และให้มีการขยายผลการปฏิบัติแแกไปอย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งการนำวิทยาการตำรวจและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมให้มากยิ่งขึ้น"

งานด้านสารสนเทศคือแนวทางหนึ่งของการพัฒนาวิทยาการและเทคโนโลยี สิ่งนี้มีการกำหนดอย่างเป็นรูปธรรมอยู่ในส่วนของนโยบายและแผนประจำปี ซึ่งได้วางแนวเอาไว้ 2 ข้อด้วยกัน คือ

1. นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในงานต่าง ๆ เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม อันได้แก่การเก็บรวบรวมสถิติข้อมูลการวิเคราะห์สถานภาพอาชญากรรม รวมทั้งบันทึก และตรวจสอบข้อมูลท้องถิ่นแผนประทุษกรรม ตำหนิ รูปพรรณ หมายจับ

2. ส่งเสริมให้หน่วยงานสังกัดนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในราชการ โดยจัดระบบให้สามารถเชื่อมโยงข่ายข้อมูลเป็นระบบเดียวกันทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค

ศูนย์ประมวลข่าวสารถูกวางให้เป็นหน่วยงานหลักที่ต้องรับผิดชอบผลักดันงานตามโครงการนี้ให้เป็นจริงขึ้นมา โดยต้องเป็นศูนย์กลางรับผิดชอบควบคุมดูแลการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ที่ได้รับอนุมัติด้วย

เมื่อได้รับมอบหมายภารกิจใหญ่เช่นนี้ ทางศูนย์เองจึงเท่ากับตกอยู่ในวงจรแห่งความเปลี่ยนแปลง ต้องปรับเปลี่ยนรูปโฉมภายในเป็นการใหญ่

ที่ชั้นที่ 2 ของอาคาร 19 ภายในกรมฯ ปทุมวัน เพียงเดินพ้นโค้งบันไดไป ป้ายสีเงินโลหะขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าก็บ่งบอกให้รู้ได้ทันทีว่า ทั้งชั้นนั้นคืออาณาจักรของศูนย์ประมวลข่าวสาร หรือถ้าช่างสังเกตสักเล็กน้อยตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ตัวอาคาร ก็จะเห็นโปสเตอร์สีสวยสดแผ่นขนาดปานกลางที่สื่อด้วยรูปการ์ตูนประกอบด้วยถ้อยความบรรยายแนะนำองค์กรและการทำงานติดเรียงรายอยู่ตลอดแนวบันได ซึ่งสามารถให้ภาพของหน่วยงานแห่งนี้อย่างดี

เมื่อเดือนพฤศจิกายนปลายปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ประมาณ 100 คนของศูนย์ประมวลข่าวสารเพิ่งได้ "นาย" คนใหม่เป็นผู้กำกับหนุ่มที่มีดีกรีระดับดอกเตอร์ อีกทั้งยังได้ผ่านการศึกษาและฝึกอบรมหลักสูตร เอฟ.บี.ไอ. มาแล้วชนิดหมาด ๆ จากอเมริกา นี่คือความเปลี่ยนแปลงแรก

พันตำรวจเอกไพรัช พงษ์เจริญ ได้รับการโยกย้ายเดี่ยวนอกฤดูกาลให้มารับผิดชอบงานใหม่โดยทันทีหลังเดินทางกลับถึงบ้านได้เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ ทันพอดีกับการเข้าบุกเบิกวางระบบงานพัฒนาระบบสารสนเทศ

"ผู้กำกับคนใหม่มาในช่วงที่จะมีการนำเครื่องใหม่มาใช้ ซึ่งเรื่องนี้ทางหน่วยงานได้ขออนุญาตคณะกรรมการคอมพิวเตอร์ของรัฐตั้งแต่ขั้นต้น เขียนโครงการ 4-5 ปีมาแล้ว ในเรื่องฐานระบบข้อมูลส่วนหนึ่งก็มีการทำอยู่เช่นกัน แต่ไม่ครบวงจร แต่ตอนนี้ที่ผู้กำกับเข้ามาและผู้ใหญ่ต้องการคือ จะเน้นเรื่องงานข้อมูลอาชญากรรมให้ครบรูปแบบครบวงจรปรับปรุงระบบตรงนี้ให้สมบูรณ์" พ.ต.ท. หญิง รังสิมา พันธ์สุวรรณ สารวัตรงาน 6 กล่าวถึงการมาของผู้บริหารศูนย์ฯ คนล่าสุด

ความเปลี่ยนแปลงทางด้านสถานที่คือสิ่งแรกที่เห็นได้ชัดพร้อมกับการเริ่มต้นทำงานของผู้กำกับคนใหม่ ผู้ซึ่งเน้นความสำคัญของบุคลากรเป็นอย่างมาก ทั้งนี้โดยมีความตระหนักเป็นอย่างดีว่าหน่วยงานอย่างศูนย์ประมวลข่าวสารซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐนั้นมีข้อด้อยกว่าเอกชนหลายประการ ในขณะที่บุคลากรทางด้านคอมพิวเตอร์เป็นความต้องการของภาคธุรกิจค่อนข้างมาก การจะรักษาคนให้ทำงานยืนยาวอยู่ได้จำเป็นต้องสร้างองค์ประกอบหลายประการ

ที่นี่ไม่ใช่จะมีเพียงห้องฝึกอบรม ห้องสมุดเท่านั้น แต่มีห้องสันทนาการ และห้องดื่มกาแฟด้วย อันเป็นแหล่งที่ทุกคนสามารถเข้าไปพูดคุยในเรื่องการงานด้วยบรรยากาศสบาย ๆ หรืออาจจะพักผ่อนในลักษณะทั่วไป

ทุก ๆ วันศุกร์เจ้าหน้าที่จะได้ทานข้าวร่วมกัน และทุก ๆ เดือนมีการจัดงานวันเกิดให้แก่สมาชิกที่เกิดในเดือนนั้น

เหล่านี้คือวัฒนธรรมที่ผู้กำกับไพรัชสร้างขึ้น

ในส่วนของการทำงาน ระบบกลุ่มก็ได้ถูกนำมาใช้ในรูปแบบที่มีความยืดหยุ่น มีการถ่ายโอนเปลี่ยนหน้าที่ไปตามความเหมาะสม โดยกลุ่มต่าง ๆ ก็จะแข่งขันกันทำงานของตนให้ลุล่วงด้วย

บรรยากาศการทำงานและการร่วมชีวิตแบบใหม่ได้เกิดขึ้น สภาพของศูนย์ฯ ในขณะนี้จึงมีความพิเศษและแตกต่างจากหน่วยงานรัฐอื่น ๆ เวลาในการเข้าออกงานไม่ใช่เครื่องตัดสินสำคัญเท่ากับผลงานที่สำเร็จลุล่วง และสายบังคับบัญชาก็ไม่จำเป็นเท่ากับความร่วมมือของกลุ่ม

อีกสิ่งที่ได้รับการเน้นในช่วงเดือนแรกก็คือการพยายามที่จะพูดคุยสร้างความเข้าใจในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชาถึงจุดมุ่งหมายของงานใหม่ เนื่องจากผู้กำกับไพรัชเชื่อว่า "ถ้าไม่มีคนที่มีความคิดเดียวกันการทำงานก็จะลำบากมาก" โดยเฉพาะกับภาระหน้าที่ส่วนที่เพิ่มขึ้นใหม่นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตกลงหลักการและแนวทางกันให้ชัดเจน

พ.ต.อ. ไพรัชเข้าสู่เส้นทางสีกากีมานานแล้ว เริ่มจากโรงเรียนเตรียมทหารกรุงเทพฯ ต่อด้วยชั้นปริญญาตรีที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เป็นผู้ที่มีผลการเรียนดีเด่นมาโดยตลอด จึงผ่านการคัดเลือกจากกรมให้ได้รับทุนรัฐบาล (ก.พ.) ในความต้องการของกรมตำรวจให้ไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ UNIVERSITY OF ALABAMA ประเทศสหรัฐอเมริกา ในสาขาการบริหารงานกระบวนการยุติธรรม และเนื่องจากผลการเรียนดีเด่นมาก จึงได้รับอนุมัติให้ศึกษาต่ออีกในสาขาวิชาเดิมที่มหาวิทยาลัย SAN HOUSTON STATE รัฐ TEXAS

ก่อนไปศึกษาขั้นปริญญาโทเคยเป็นรองสารวัตรประจำสถานีตำรวจนครบาลอยู่ 2 แห่ง หลังจบปริญญาเอกได้เข้าทำงานที่กองบังคับการตำรวจนครบาลอยู่ 2 แห่ง หลังจบปริญญาเอกได้เขาทำงานที่กองบังคับการตำรวจนครบาลธนบุรีและกองกำกับการสืบสวนตำรวจนครบาลพระนครเหนือ ตามลำดับ จนกระทั่งปี 2528 จึงได้เป็นนายเวรผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

ปีต่อมาย้ายไปเป็นนายเวรผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจที่ชื่อ พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ จนกระทั่งปี 2532 เมื่อผู้ช่วยอธิบดีคนดังกล่าวผ่านการเป็นรองอธิบดีจนกระทั่งขึ้นเป็นอธิบดี พ.ต.อ.ไพรัชก็ยังคงเป็นนายเวรประจำตัวอยู่ และเป็นเรื่อยมาตราบจน พล.ต.อ. แสวงลาออกจากราชการไปในปี 2533

"ผมอยู่กับท่านอธิบดีแสวงมาตลอด เป็นระดับบริหารสูงสุด เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เรามีการประชุมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมต่าง ๆ เรามีปัญหา 12 ประการ หนึ่ง ความไม่พร้อมทางด้านข้อมูลของอาชญากร หรือพฤติกรรม หรือ pattern ของการกระทำความผิด กับ สอง ปัญหาหลักคือ ไม่มีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมของหน่วยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ทำให้งานเป็นไปล่าช้า เป็นลักษณะที่ต่างฝ่ายต่างหวังข้อมูลกัน" ผู้กำกับไพรัชเล่าถึงประการแรกเริ่มทางความคิดทั้งของตนเองและของผู้ใหญ่ที่จะพัฒนาระบบข้อมูล

ในเวลานั้น สิ่งที่นายตำรวจหนุ่มเห็นว่าน่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องก็คือ หนึ่ง จะต้องเก็บบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรระบบคอมพิวเตอร์ สอง ข้อมูลนั้นจะต้องให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามป้องกันได้ใช้เพื่อให้การปฏิบัติงานมีความฉับไว ทันต่อเหตุการณ์

ความคิดของ พ.ต.อ. ไพรัชส่อเค้าว่ามีสิทธิ์ที่จะเป็นจริงตั้งแต่ก่อนไปเรียน FBI แล้ว โดยอธิบดีสวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ ได้มอบหมายไว้ให้เอาใจใส่เรื่องนี้ ทำให้ระหว่างศึกษาหลักสูตร FBI อยู่ 4 เดือน เขาพยายามเฝ้าดูระบบของทางอเมริกาอย่างตั้งใจพร้อมไปกับคิดหาทางที่จะปรับให้เหมาะสมกับระบบของไทย

"ท่านอธิบดีกรมตำรวจทั้งคนก่อนและปัจจุบันท่านให้การเน้นหนักในเรื่องนี้กันมาก ท่านอธิบดีกรมตำรวจปัจจุบันเลยย้ายผมมาไว้ที่นี่มาทำว่า CIS จะมีกี่ระบบ set up งานอย่างไร จะแชร์ข้อมูลท้องที่อย่างไร ฯลฯ นี่คือที่มา ซึ่งเราก็กำลังทำกันไปได้ดีอยู่ในขณะนี้ และเราก็พยายามขายความคิดนี้ไปเรื่อย ๆ" พ.ต.อ. ไพรัชบอกเล่า

อาจกล่าวได้ว่าถ้าปราศจากแรงสนับสนุนจากผู้ใหญ่ข้างบน งานชิ้นที่ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยเช่นนี้ก็คงยากที่จะก่อให้เกิดขึ้น ในทำนองเดียวกันทางด้านของผู้ปฏิบัติ ถ้าไม่เห็นความสำคัญและไม่มีความมุ่งมั่นที่จะทำก็คงไม่ได้

นายตำรวจระดับรองผู้กำกับที่ผ่านงานปราบปรามมาอย่างโชกโชนรายหนึ่งกล่าวว่า เมื่อปี 2525 เคยมีการคิดที่จะติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลภายในข่ายงานของกองกำกับการ 3 ซึ่งประมาณว่าต้องใช้งบประมาณถึง 1 ล้านบาท การคิดในเรื่องนี้มีอยู่เสมอและเคยมีการพยายามวาดโครงการกันหลายครั้ง ทว่าไม่เคยสำเร็จถึงขั้นได้ลงมือทำมาก่อนจวบจนถึงครั้งนี้

ตำรวจผู้ปฏิบัติต้องเล็งเห็นความสำคัญของการมูล ในเรื่องว่าถ้าเราได้ข้อมูลที่ถูกต้องทันสมัยจะเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไรในการป้องกันปราบปรามในงาน ก่อนเราอาจจะพอที่จะต่างคนต่างทำได้ แต่ขณะนี้ความเคลื่อนไหวทางองค์กรอาชญากรรมต่างประเทศมันสูงเราต้องมีศูนย์กลางบอกเล่าถึงความมุ่งมาดที่เด่นชัดอยู่ในตัว

ขณะนี้การสร้างระบบฐานข้อมูลอาชญากรรมเริ่มเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้ว เงินงบประมาณจำนวน 584 ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานงบประมาณจะถูกใช้สำหรับสร้างระบบ main frame เพื่อรองรับงานระบบฐานข้อมูลอาชญากรรม และรองรับงานเชื่อมโครงข่ายคอมฯ ไปยังสถานีต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอาชญากรรมที่ถูกต้อง ทันสมัย ครบถ้วน และสมบูรณ์

งานระบบฐานข้อมูลอาชญากรรมที่จะต้องรวบรวมขึ้นมีอยู่ 10 ระบบด้วยกัน คือ ข้อมูลคดีอาชญากรรมและผลการดำเนินคดี ข้อมูลทะเบียนประวัติอาชญกรซึ่งรวมถึงผู้ต้องหาผู้ถูกกักขัง และบุคคลพ้นโทษ ข้อมูลหมายจับ ข้อมูลทะเบียนรถยนต์ ข้อมูลทะเบียนอาวุธและผู้ได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืน ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ข้อมูลตำหนิรูปพรรณผู้กระทำผิด ข้อมูลพิมพ์นิ้วมือ ข้อมูลตำหนิรูปพรรณ ทรัพย์สินหาย และข้อมูลแผนประทุษกรรมของคนร้าย

"ฐานระบบอาชญกรรม 10 ระบบที่ผมตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมอาชญากร ควบคุมพฤติกรรมของคนร้าย และป้องกันการกระทำผิดซ้ำ ถ้าเราลดตรงนี้ลงได้อาชญกรรมจะเกิดน้อยลงไปมาก และก็เน้นว่าถ้าอาชญากรรมจะเกิดขึ้นมาเราจะไปตามจับใคร กลุ่มผู้ต้องสงสัยมีใครบ้าง เราจะล้อมกรอบตรงไหน ทำให้การสืบสวนสอบสวนเพื่อขยายผลทำได้ง่ายขึ้น" ผู้กำกับไพรัชกล่าว

อย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่านี้นอกจากจะมีอยู่กับหน่วยงานของกรมตำรวจและสถานีตำรวจต่าง ๆ แล้วบางส่วนก็เป็นข้อมูลของหน่วยราชการอื่น ซึ่งจะต้องทำการเชื่อมต่อเข้ามาด้วย

นั่นหมายถึงว่าในการเชื่อมโยงโครงข่ายจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนด้วยกัน คือโครงข่ายของแหล่งข้อมูลและโครงข่ายของผู้ใช้ข้อมูล โดยส่วนหลังนี้จำกัดอยู่เฉพาะหน่วยงานของกรมเท่านั้น

ภายใต้ระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี 2535-2539 รวม 5 ปี การเชื่อมโยงโครงข่ายทั้งหมดถูกกำหนดไว้ให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2537 โดยมีการแบ่งระยะเวลาดำเนินงานเอาไว้อย่างชัดเจนกล่าวคือ ในส่วนของการเชื่อมต่อกับหน่วยงานภายนอกนั้น แบ่งออกเป็น 2 ระยะ

ระยะที่ 1 การเชื่อมโยงจะต้องเสร็จสิ้นภายในปีนี้ ประกอบไปด้วย สำนักงานทะเบียนรถยนต์สาขากระทรวงคมนาคม, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำนักนายกรัฐมนตรี, สำนักงานทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครองและกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง สำหรับระยะที่ 2 กำหนดเสร็จสิ้นภายในปี 2537 ได้แก่ กรมอัยการ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงมหาดไทยและศูนย์คอมพิวเตอร์ กระทรวงยุติธรรม

ส่วนการเชื่อมโยงภายในกรมแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน ระยะที่ภายในปีนี้การเชื่อมกับกองทะเบียนประวัติอาชญกรต้องแล้วเสร็จ พร้อมกับเชื่อมโยงไปยังสถานีตำรวจนครบาล 69 แห่ง สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง 41 แห่ง เฉพาะในเขต บช. ภ. 1 และ บช. ภ. 3 แล้วในระยะที่ 2 จึงเชื่อมไปยังสถานีภูธรอำเภอเมืองที่เหลืออีก 31 แห่ง ในเขต บช. ภ.2 และ 4 ในช่วงปีต่อไปสุดท้ายคือระยะที่ 3 ขยายไปสู่สถานีตำรวจภูธรอำเภอระดับ 1 จำนวน 144 แห่ง ภายในปี 2537

"ขณะนี้ทะเบียนราษฎร์และ ป.ป.ส. เสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้วกำลังดำเนินการต่อเนื่องไปยังสำนักอัยการสูงสุด กรมราชฑัณท์และศาลเป็นรายต่อไป ถ้าตรงนี้เสร็จสมบูรณ์ก็เป็นการทำงานร่วมกันของทุกองค์กรในขบวนการยุติธรรมทำให้ได้รู้ความเคลื่อนไหวของอาชญกรว่าคนหนึ่ง ๆ นั้นเดินไปอย่างไรเราจะได้ตามถูกเพราะว่าการกระทำผิดซ้ำของคน ๆ หนึ่งนั้นเกิน 50% กลุ่มคนที่ทำอาชญากรรมขณะนี้ก็คนหน้าเดิมเราต้องการรู้ pattern ถ้าสะกดรอยได้มอนิเตอร์คนนั้นได้รู้ว่าออกจากคุกเมื่อไหร่จะช่วยได้เยอะให้ท้องที่เขารู้" นี่คือความคืบหน้าล่าสุดด้านการเชื่อมโยงโครงข่าย

ทางด้านข้อมูล 10 ระบบก็มีบางระบบที่สมบูรณ์แล้วเช่นกันได้แก่ทะเบียนรถยนต์-จักรยานยนต์ ทะเบียนอาวุธปืน ทะเบียนราษฎร์ ทะเบียนบุคคล ทะเบียนรถหาย ส่วนนี้ค่อนข้างเร็วเนื่องจากเป็นส่วนที่ทางศูนย์ฯ เก็บไว้อยู่แล้วถ้าเทียบกับข้อมูลบางระบบที่ต้องใช้หน่วยงานต่าง ๆ ย่อมล่าช้ากว่าทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าหน่วยงานนั้นระบบการจัดเก็บเดิมเป็นอย่างไรด้วย

กว่าจะครบทั้งระบบคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักแต่ถึงอย่างไรระหว่างนี้ผลของการพัฒนาก็ยังพอมีออกมาให้เห็นบ้างแล้ว

ระบบข้อมูลใหม่ที่เปิดใช้ในปัจจุบันและได้รับความนิยมอย่างยิ่งก็คือข้อมูลรถหายและข้อมูลทะเบียนรถยนต์ จักรยานยนต์ 6 ล้าน 5 แสนคัน ซึ่งบรรดาตำรวจ ผู้ปฏิบัติงานพากันตรวจสอบเข้ามาได้เพื่อใช้ประโยชน์ในกรณีต่าง ๆ

เช่นเมื่อพบเห็นรถต้องสงสัยก็สามารถ หยุดรถได้ตลอดเวลาเพราะใช้เวลาตรวจสอบเพียง 1 นาทีโทรศัพท์ถามก็ตรวจสอบได้แล้วว่า รถคันนั้นเป็นของใครหรืออาจตรวจสอบกับทะเบียนรถหายที่มีการแจ้งความ ก็จะทราบว่าเป็นรถอยู่ในบัญชีนี้หรือไม่ในขณะที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ้าหน้าที่มักไม่กล้าหยุดรถทั้งที่ผิดสังเกตเพราะไม่มีจุดที่จะตรวจสอบข้อมูลได้ หรือถึงทำได้ก็ต้องใช้เวลามากซึ่งจริง ๆ ก็คือทำไม่ได้นั่นเอง

"อย่างรถหาย เรามีข้อมูลรถหาย 45,000 คันอยู่ในระบบฐานข้อมูลอาชญากรรม ขณะนี้ได้จัดชุดปฏิบัติการออกไปตรวจสอบรถที่จอดตามโรงพัก และเอา record นี้มาค้นเข้ากับทะเบียนรถหาย เราจะแปลกใจมากว่ารถที่จอดตามโรงพักที่ตำรวจยึดมาตรงกับรถที่แจ้งหาย เราก็ติดต่อเจ้าของไปรับรถคืนที่สนนั้นๆ ถ้าเราไม่มีตรงนี้ ตำรวจท้องที่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บางทีจับรถแล้วคนขับวิ่งหนีไปก็ได้แต่เอารถมาจอดที่โรงพักเฉย ๆ ก็อยู่แค่นั้นปลายทางแค่นั้น พ.ต.อ. ไพรัชเล่าถึงผลดีที่เริ่มต้นเกิดขึ้นแล้วต่อไปในระยะยาวยังมีแผนการณ์ อีกว่าจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลจากทางองค์กรตำรวจสากล เข้ากับศูนย์ประมวลข่าวสารด้วย ซึ่งถึงเวลานั้นการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับข้ามชาติก็จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นเช่นกัน เพราะปัจจุบันนี้อาชญากรต่างชาตินั้นพัฒนาก้าวหน้าไปไกลมากแล้ว การแฝงเข้ามาในรูปนักลงทุนหรือนักธุรกิจคือสิ่งที่จะต้องได้ยินได้ฟังบ่อยขึ้นขบวนการต่าง ๆ มีการทำงานอย่างเป็นเครือข่ายและมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ถ้ามีผู้มีหน้าที่ปราบปรามตามไม่ทันก็ย่อมไม่อาจทำอะไรได้

การติดต่อกับทางองค์กรตำรวจสากลไม่มีปัญหาแน่ ๆ แล้วในแง่ของการยินยอมจากฝ่ายโน้น ปัจจัยสำคัญก็คือตัวเทคโนโลยีที่จะเลือกใช้ อีกทั้งระบบใหญ่ทั้งหมดภายในประเทศก็ควรจะเป็นจริงก่อน ซึ่งแม้ศูนย์ประมวลข่าวสารจะเป็นผู้รับผิดชอบหลักแต่ความสำเร็จที่สมบูรณ์ย่อมขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us