Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 กันยายน 2550
"รักลูกกรุ๊ป"โตต่อแตกไลน์ลุยธุรกิจรีเสิร์ชฯรับงานรัฐ             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท รักลูกแฟมิลี่กรุ๊ป จำกัด

   
search resources

สุภาวดี หาญเมธี
News & Media
รักลูกแฟมิลี่กรุ๊ป, บจก.




นางสุภาวดี หาญเมธี ประธานกรรมการบริหาร รักลูกกรุ๊ป ดำเนินธุรกิจด้านสื่อที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวเป็นหลัก เปิดเผยว่า จากการทำงานตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ในเรื่องของการให้ความสำคัญเกี่ยวกับเด็กและครับครัว ผ่านสื่อสร้างสรรค์หลากหลายรูปแบบ จึงถือได้ว่าบริษัทฯมีความรู้และความชำนาญที่หลากหลาย ทั้งในแง่การติดต่อสื่อสาร และการหาข้อมูลต่างๆ ซึ่งมองว่าหลักการทำงานเหล่านี้ สามารถนำไปปรับเปลี่ยนเพื่อใช้กับสังคมในวงกว้างได้ จึงทำให้บริษัทฯได้มีการทดลองขยายไลน์สู่ธุรกิจในกลุ่มใหม่ไปสู่กลุ่มเป้าหมายในวงกว้างเพิ่มขึ้น

โดยบริษัทฯ เลือกความชำนาญในเรื่องของ การรีเสิร์ชของการหาข้อมูลต่างๆ การเทรนนิ่งหรือการอบรมให้ความรู้ต่างๆ และแอสเซสเม้นท์ หรือการประเมินผล ซึ่งเป็นหน่วยงานของแผนกหนึ่งในบริษัท รักลูก แฟมิลี่ กรุ๊ป จำกัด ได้รับงานที่หลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและครอบครัว สู่สังคมมากขึ้น ซึ่งหลังจากที่ได้ทดลองดำเนินงานมาตั้งแต่ต้นปี ในแง่ของรายได้ถือได้ว่าเป็นรายได้ที่น่าพอใจอย่างมาก จากโครงการใหญ่ๆ 3-5 งาน อาทิ เช่น โครงการครอบครัวเข้มแข็งของสสส หรือแผนพัฒนาชุมชน ของ กทม. ที่ดำเนินงานให้ลูกค้าทั้งเอกชนและภาครัฐ ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 25 ล้านบาท

"บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะเปิดตัวบริษัทใหม่ เพื่อมารองรับธุรกิจดังกล่าว ในเดือนธันวาคม ที่จะถึงนี้อย่างเป็นทางการ โดยขณะนี้กำลังเตรียมยื่นเรื่องเสนอชื่อจดทะเบียนบริษัทใหม่อยู่ ซึ่งมองว่าบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะดังกล่าวพอมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่หากมุ่งเน้นด้านเทรนนิ่ง ก็จะมีแต่เทรนนิ่งอย่างเดียว ดังนั้นการที่บริษัทฯรองรับครอบคลุมใน 3 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น รีเสิร์ช เทรนนิ่ง และประเมินผลจะเป็นจุดแข็งที่จะทำให้ลูกค้าให้ความสนใจได้เป็นอย่างดี"

ทั้งนี้ บริษัทฯเชื่อว่า บริษัทเอกชนที่ให้ความสำคัญในเรื่องของการพัฒนา หรือบริษัทเปิดใหม่ รวมไปถึงภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการทำโครงการต่างๆ จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมองว่าโอกาสในการทำธุรกิจดังกล่าว จะเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจ ที่บริษัทฯจะสามารถต่อยอดธุรกิจด้านสื่อ เข้ามาใช้ได้อีกทางหนึ่งด้วย

นางสุภาวดี กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ธุรกิจเกี่ยวกับสื่อเป็นหลัก ยอมรับว่าปีนี้ธุรกิจด้านสื่อได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจพอสมควร โดยในส่วนของบริษัทฯเองนั้น เฉลี่ยรายได้รวมปีนี้ยังคงมีอัตราการเติบโตขึ้นเล็กน้อยไม่เกิน 10% ซึ่งมาจากบริษัท รักลูก เอ็ดดูเท็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการ และการนำเข้านิทรรศการต่างๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Dinosaur, Mega bug และ The Robot Zoo ทำให้ปีนี้มีอัตราการเติบโตขึ้นกว่า 100% หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 30% รองจากกลุ่มธุรกิจหลักคือสื่อและครอบครัวที่เป็นรายได้หลัก 55% โดยสัดส่วนรายได้ที่เหลือมาจากบริษัทลูก ที่บริหารพิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร คือ บริษัท รักลูก ดิสคัฟเวอร์รี่ เลิร์นนิ่ง จำกัด

ล่าสุดบริษัท รักลูก เอ็ดดูเท็กซ์ จำกัด และบริษัท รักลูก ดิสคัฟเวอร์รี่ เลิร์นนิ่ง จำกัด ได้ร่วมกับ FCI ผู้ดำเนินธุรกิจลิขสิทธ์ดิสนีย์ ดำเนินโครงการ ดิสนีย์ เลิร์นนิ่ง ทาวน์ ภายใต้งบการลงทุนกว่า 40 ล้านบาท โดยการนำเอาลิขสิทธ์ของดิสนีย์ 6 เรื่อง คือ ซิลเดอเรล่า, ลิตเติ้ล เมอร์เมด, อลาดิน กับตะเกียงวิเศษ, เจ้าหญิงนิทรา, สโนว์ไวท์ กับคนแคระทั้ง 7 และโฉมงามกับเจ้าชายอสูร มาสร้างสรรค์จัดเป็นชุดนิทรรศการ แบบอินเตอร์แอกทีฟ ตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2550- 31 ธันวาคม 2551 ปีหน้า ที่ พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร

โดยบริษัทฯได้วางแผนวางหาผู้เข้าร่วมเป็นเมนสปอนเซอร์หลักไว้ที่ 30% ของงบการลงทุนทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้มีอยู่ 2 ราย คือ เมืองไทยประกันชีวิต และนม เอนฟาคิด โดยต้องการอีกประมาณ 3ราย ทั้งนี้เชื่อว่าจากระยะเวลาในการจัดงานครั้งนี้ จะสามารถจำหน่ายบัตรเข้าชมได้ไม่ต่ำกว่า 7 แสนใบ เฉลี่ยเดือนละ 5 หมื่นใบ ในราคาบัตรที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 170-190 บาท จากเดิมราคาบัตรปกติที่ 50-70 บาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us