กิฟฟารีน โวลั่นอวดยอดขาย 8 เดือนพุ่งกระฉูดเกินเป้าที่วางไว้ รับผลพวงจากโฆษณาชุดใหม่บีลีฟ ในประโยคติดหู "ทำไมต้องกิฟฟารีน" ช่วยดันยอดคนแห่สมัครเป็นสมาชิกใหม่ถึงเดือนละ 40,000 รหัส ลุ้นการเมืองชัดเจนดันยอดซื้อต่อบิลโค้งสุดท้ายเพิ่ม 15%
นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงกิฟฟารีน และในฐานะนายกสมาคมขายตรงแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการทำตลาดในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม พบว่าบริษัทฯมียอดขายเติบโต 16% สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจากเดิมตั้งเป้าหมายว่าอัตราการเติบโตจะมีเพียง 12% เท่านั้น เนื่องจากการปรับแผนตลาดต่างๆตามสภาพภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งสิ่งนี้อาจทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าราคาเหมาะสมมากขึ้น
ทั้งนี้การที่บริษัทฯ มียอดขายสูงกว่าเป้าหมาย โดยมีผู้สมัครเป็นสมาชิกขายตรงของบริษัทฯเพิ่มขึ้นถึงเดือนละ 40,000 รหัส จากปกติที่มีสมาชิกใหม่เดือนละ 30,000-35,000 รหัส ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งคือ การเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ภายใต้ชื่อ บีลีฟ มี ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีมาก โฆษณาทำให้กลุ่มลูกค้าจดจำและเข้าใจถึงการสื่อสารระหว่างคนกับแบรนด์ได้ดีเกินเป้าหมายที่วางไว้ ในประโยคเด็ดที่ว่า "ทำไมถึงต้องกิฟฟารีน" ที่ไม่ได้นำเสนอการขายของเพียงอย่างเดียว แต่เน้นเสนอเรื่องราวที่ให้ผู้บริโภคเข้าใจธุรกิจขายตรงมากขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจและกล้าลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง
นางนลินีกล่าวว่า การที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ผู้บริโภคสมัครเป็นสมาชิกขายตรงมากกว่าเดิม เพราะเป็นทางเลือกในการหารายได้เสริมได้เป็นอย่างดี ซึ่งธุรกิจขายตรงนับว่าเป็นทางออกของคนในสังคมปัจจุบันมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวเป็นการเสริมรายได้อีกทางให้กับชีวิตโดยที่ได้รับผลตอบแทนค่อนข้างดี
สำหรับประเด็นของราคาสินค้าที่จำหน่ายในปัจจุบันนั้น แม้ทุกบริษัทจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าคงจะปรับราคาขึ้นให้น้อยที่สุด เพราะเข้าใจสถานการณ์กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ยกเว้นสินค้าบางรายการที่ต้นทุนสูงต่อเนื่อง จึงต้องปรับราคาเพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้ และได้อธิบายให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงความจำเป็นดังกล่าวด้วย
ขณะเดียวกันบริษัทฯคาดว่าภาพรวมธุรกิจขายตรงในไตรมาสที่ 4 จะต้องเติบโตดีขึ้น หรือคิดเป็น 10% จากมูลค่า 40,000 ล้านบาท มียอดซื้อต่อคนต่อครั้งเพิ่มขึ้นอีก 15% ส่วนยอดขายรวมของบริษัทฯในสิ้นปีนี้คาดเป็นไปตามเป้าหมายคือ 3,800 ล้านบาท เติบโต 10-12% ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อเทียบกับทุกไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งยอดซื้อต่อครั้งลดลง สาเหตุอันเนื่องมาจากไตรมาสทีสี่ผลพวงจากสถานการณ์การเมืองเริ่มมีความชัดเจนทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในการจับจ่าย ขณะที่เงินสะพัดในช่วงเลือกตั้ง คาดว่าไม่มีผลต่อการซื้อสินค้ามากนัก เนื่องจากกำลังซื้อส่วนใหญ่จะมาจากรายได้ที่สม่ำเสมอ
|