|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างฯ ระบุ 1 ปี รัฐบาลทำเศรษฐกิจทรุดเกิดหลุมดำในธุรกิจก่อสร้าง “บิ๊กปูนใหญ่”ชี้ความต้องการใช้ปูนในประเทศไตรมาส 2/2549 ลดฮวบ 8% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี วอนรัฐบาลคำนึกถึงประโยชน์ของประเทศ การลงทุนในระบบสาธารณูปโภคไม่ใช่เป็นของพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง พรรคใดมาควรสานต่อ ด้าน”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขายฝันสานต่อโครงข่ายคมนาคมทุกเส้นทาง
นายพลพัฒ กรรณสูต นายกสมาคมอุสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยในงาน เสวนาเรื่อง “ทิศทางและอนาคตอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย” ว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีนับจากมีการปฎิรูปการปกครอง และมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ถือว่าเป็นหลุมดำของอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยเลยก็ว่าได้ เนื่องจากงานก่อสร้างในส่วนของภาครัฐลดลงถึง 50% ทำให้ผู้รับเหมาขาดงานต้องแข่งขันเพื่อประมูลงานกัน โดยเฉพาะผู้รับเหมารายกลาง-รายเล็ก ส่วนผู้รับเหมารายใหญ่ประสบปัญหาน้อย เพราะสามารถออกไปรับงานในต่างประเทศได้
ด้านนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า รัฐบาลควรมีการลงทุนในเรื่องของระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพราะในปัจจุบันภาคการก่อสร้างมีสัดส่วนเพียง 9% ของจีดีพี จากที่ในปี 2532 ภาคการก่อสร้างมีสัดส่วนเป็น 20% ของจีดีพี ซึ่งที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า ไทยมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่น้อยมาก การก่อสร้างขนาดใหญ่มีเพียงสนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนโครงการถไฟมักกะสัน-สุวรรณภูมิ (แอร์พอร์ตลิ้ง) ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร
“การลงทุนในระบบอินฟาสตัคเจอร์ไม่ควรเป็นของพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่ง ใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ต้องทำสานต่อหากโครงการนั้นดี ประเทศไทยต้องมีการลงทุนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ให้รัฐกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ” นายกานต์ กล่าว
สำหรับตัวเลขการลงทุนก่อสร้างทั่วประเทศของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2548 มีการลงทุนก่อสร้าง 717,700 ล้านบาท ปี 2549 ประมาณการว่าการลงทุนจะลดลงเหลือ 710,400 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2550 คาดว่าจะมีการลงทุน 740,800 ล้านบาท โดยในปีนี้ มีการลงทุนก่อสร้างคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์มากที่สุดถึง 139 โครงการ มูลค่า 87,500 ล้านบาท
เมื่อปริมาณการก่อสร้างลดลง ส่งผลให้ปริมาณการใช้ปูนในประเทศลงลด โดยในปี 2549 มีปริมาณการใช้ปูนลดลง 2% หรือประมาณ 28-29 ล้านตัน จากที่ในช่วงการใช้สูงสุดก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มีปริมาณการใช้ปูนสูงถึง 36 ล้านตันต่อปี ส่วนในปี 2550 เฉพาะไตรมาส 1 มีปริมาณการใช้ปูนติดลบ 6.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว และลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2 มีปริมาณการใช้ปูนติดลบ 8% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือเป็นประเทศเดียวที่มีปริมาณการใช้ปูนติดลบ เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามแล้ว ที่มีการใช้ปูนแซงหน้าไทยไปแล้วคือ 36 ล้านตันต่อปี และคาดว่าในปี 2553 จะเพิ่มขึ้นถึง 49 ล้านตัน ในจำนวนดังกล่าวเป็นการใช้ปูนในงานอินฟาสตัคเจอร์ถึง 70-80% ในขณะที่อินฟาสตัคเจอร์ของไทยใช้ปูนเพียง 31% เท่านั้น
“ สถานการณ์ในปี 2551 อย่างเลวร้ายที่สุด คงจะไม่แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว และที่จะหวังว่ามีรัฐบาลใหม่แล้วจะดีขึ้นเลยคงไม่ใช่ เพราะกว่าจะมีการเปิดประมูลก่อสร้าง กว่าจะมีการสั่งซื้อสินค้าและใช้จริงก็ประมาณปลายปี 2551 หรือต้นปี 2552 ส่วนวัสดุก่อสร้างอื่นพบว่า การใช้เหล็กลดลง 4% ไฟเบอร์ซีเมนต์ลดลง 15% กระเบื้องหลังคาคอนกรีตลดลง 10% กระเบื้องเซรามิคลดลง 7% คาดว่าในปีหน้าการใช้เหล็กน่าจะโตขึ้น 4% และปูนจะโตประมาณ 6% ทั้งนี้ ในปีนี้พบว่า ในกทม.มีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้น 639 โครงการ มูลค่าประมาณ 87,500 ล้านบาท”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า หากพรคคเข้าไปเป็นรัฐบาล จะต้องเร่งดำเนินการเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ จะมีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% รวมไปถึงจะยุติเรื่องพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าวและกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 4 เรื่องคือ 1.ด้านการศึกษา 2.พัฒนาแหล่งน้ำโดยจะใช้งบส่วนนี้ประมาณ 1 แสนล้านบาท 3.พัฒนาระบบโลจิสติกส์ โดยจะต้องลดต้นทุนในด้านนี้จาก 20% ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 15% ด้วยการพัฒนาระบบรางคู่ ถนนและทางน้ำ ซึ่งจะใช้งบประมาณ 2 แสนล้านบาท และ 4.พัฒนาระบบขนส่งมวลชนทุกเส้นทางที่มีอยู่ในแผนใช้งบ 2.5 แสนล้านบาท
“โดยรวมทั้ง 4 ประเด็น รวมทั้งเรื่องการศึกษาและคนชรานั้นจะต้องใช้งบดำเนินการประมาณ 7 แสนล้านบาท” นายอภิสิทธิ์กล่าว
|
|
|
|
|