Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2535
"นักลงทุน รายย่อยควรสนใจหน่วยลงทุนให้มาก"             
 

 
Charts & Figures

ผลตอบแทนและความเสี่ยงเทียบกับตลาด ช่วง ก.พ. 34 - ม.ค. 35
ภวะปัจจุบัน
สภาพคล่อง ปี 2534
สัดส่วนการลงทุนในหุ้นของกองทุน (คิดตามมูลค่าตลาด)


   
www resources

โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Investment




การจัดสรรเงินลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ย่อมแตกต่างกันไปตามลักษณะนิสัยความต้องการของแต่ละคน บางคนยอมเสี่ยงมากเพื่อหวังผลตอบแทนที่สูง บางคนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ยอมรับผลตอบแทนที่น้อยลง

แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนหวังเหมือนกันถ้ามีความเป็นไปได้ คือการลงทุนแบบความเสี่ยงน้อย แต่ผลตอบแทนสูง แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ?

หุ้นในตลาดกลุ่มหนึ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสนใจกันคือหุ้นกลุ่มหน่วยลงทุน (UNIT TRUST) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 6 ตัว คือ กองทุนร่วมพัฒนา กองทุนร่วมพัฒนา 2 กองทุนสิญโญ 4 กองทุนสิญโญ 5 กองทุนทรัพย์ทวี 2 และกองทุนธนภูมิ ซึ่งยังไม่เคยปรากฏ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหน่วยลงทุนดังกล่าวเสนอผ่านหน้าหนังสือพิมพ์

"อะไร คือเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนเมินหน่วยลงทุน" ทั้งที่บางหน่วยลงทุนให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นบางตัวในตลาด อีกทั้งความเสี่ยงต่ำกว่า อันเป็นความปรารถนาของนักลงทุนทุกคนมิใช่หรือ

นักลงทุนที่เหมาะสมจะลงทุนในหน่วยลงทุน จะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ไม่มีเวลาเข้ามาศึกษาคือไม่มีความชำนาญในการตัดสินใจลงทุนหุ้นได้ด้วยตนเอง ต้องการมืออาชีพเข้ามาช่วยบริหารเงินส่วนนี้ให้

แต่ด้วยพฤติกรรมของกลุ่มนักลงทุนส่วนใหญ่ในบ้านเราเป็นไปในลักษณะของการเก็งกำไร คือนิยมความเสี่ยง หวังผลตอบแทนจากการลงทุนสูง และมีความกระตือรือร้นศึกษาวิธีการลงทุนด้วยตนเอง ดังนั้นการลงทุนในหน่วยลงทุนที่เปรียบเสมือนมอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวมบริหารให้จึงมีไม่มากนัก

อีกปัจจัยหนึ่งที่นับว่ามีอิทธิพลต่อความสนใจลงทุนในหน่วยลงทุน คือความรู้สึกว่าผู้บริหารกองทุนจะบริหารกองทุนได้กำไรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเนื่องจากเห็นว่าบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม ต้องดำเนินการสนองนโยบายของรัฐ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตต่าง ๆ การดำเนินการจึงไม่ได้รับผลตอบแทนเต็มที่

ความรู้สึกเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่ ผลตอบแทนจากการลงทุนในหน่วยลงทุนให้ผลตอบแทนในระดับที่ไม่น่าพอใจจริง ๆ หรือ

ผลตอบแทนจากการลงทุนใน UNIT TRUST ก็เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นของบริษัทจำกัดทั่วไปคือกำไรจากการซื้อขาย (CAPITAL GAIN) รายได้จากเงินปันผล (DIVIDEND YIELD) และเมื่อสิ้นสุดโครงการผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย (NET ASSET VALUE) คืนด้วย

จากผลการดำเนินงานของกองทุนในปัจจุบัน จำนวน 6 กองทุน (พิจารณาตารางประกอบ) อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของกองทุนต่าง ๆ ที่คำนวณคิดย้อนหลัง 12 เดือนนับจากเดือนมกราคม 2535 (ระหว่าง 1 ก.พ. 34-31 ม.ค. 35) จะเห็นได้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ROI ของตลาดแล้วอัตราผลตอบแทนของกองทุนส่วนใหญ่มีค่าสูงกว่าผลตอบแทนจากตลาด

กล่าวคือ ROI ของตลาดมีค่า 7% ส่วน ROI ของหน่วยลงทุนคือร่วมพัฒนา มีค่าสูงสุด 15.66% รองลงมาคือ สินภิญโญ 5 10.87% ธนภูมิ 10% และทรัพย์ทวี 2 มีค่า 9.26%

ส่วนกองทุนที่มีผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดคือกองทุนสินภิญโญ 4 มีค่า ROI 5.11% กองทุนร่วมพัฒนา 2 เพิ่งเริ่มโครงการเมื่อมิถุนายน 2534 ข้อมูลยังไม่ครบถ้วนจึงยังไม่ได้คำนวณหาผลตอบแทนออกมา

สำหรับความเสี่ยง เมื่อพิจารณาถึงค่าเบต้าแล้ว จะพบว่าค่าเบต้าของหน่วยลงทุนมีค่าน้อยกว่า 1 แสดงให้เห็นว่าเมื่อการลงทุนโดยเฉลี่ยในตลาดหลักทรัพย์ฯ เกิดความผันผวนขึ้น เนื่องจากวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศเช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย การปฏิวัติรัฐประหาร ตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างมาก นักลงทุนที่ถือหุ้นหน่วยลงทุนจะเจ็บตัวน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของการลงทุนทั้งตลาด

ทั้งนี้ค่าเบต้าของกองทุนร่วมพัฒนา 2 มีค่าต่ำสุดคือ 0.75 รองลงมาคือกองทุนร่วมพัฒนา มีค่า 0.79

เมื่อพิจารณาถึงผลประกอบการที่ผ่านมาดังกล่าวแล้ว คงจะมีคำตอบอยู่ในใจกันบ้างแล้วว่าหน่วยลงทุนใดน่าสนใจลงทุนบ้าง

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเมื่อคิดจะลงทุน ก็คงต้องคำนึงถึงจังหวะที่จะเข้าลงทุน กล่าวคือต้นทุนในการเข้าซื้อราคาสูงเกินไปหรือไม่ และหุ้นมีสภาพคล่องในการเปลี่ยนมือได้เพียงใด ราคาที่ซื้อขายกันในปัจจุบันของหน่วยลงทุน เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าค่า NET ASSET VALUE (DISCOUNT TO NAV)

อุตตมะ สาวนายน อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ สถาบันพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ให้ทัศนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับการ DISCOUNT ของกองทุนว่า

"กองทุนเปิด (CLOSED-END FUND) ทุกกองทุนจะมีลักษณะ DISCOUNT จากการศึกษาวิจัยกองทุนต่าง ๆ พบว่าเป็น CLOSED-END FUND DISCOUNT ANOMALIES นั่นคือ ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมราคาจึงเป็น DISCOUNT"

ส่วนราคา DISCOUNT ระดับใดจึงน่าลงทุนซื้อนั้น ผู้จัดการกองทุนท่านหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวมเปิดเผยว่าราคาตลาดควรจะ DISCOUNT อยู่ในช่วงระหว่าง 15-20% จากค่า NAV

ณ 28 กุมภาพันธ์ 2535 เมื่อเทียบราคาตลาดต่อหุ้นกับมูลค่า NAV ของแต่ละหน่วยลงทุนจะพบว่าทุกหน่วยลงทุน ราคาตลาดจะต่ำกว่าค่า NAV โดยกองทุนทรัพย์ทวี 2 มีค่าต่ำกว่าถึง 25.69% รองลงมาคือร่วมพัฒนา 2 25.21% ธนภูมิ 24.06% สินภิญโญ 5 19.62% ร่วมพัฒนา 11.48% และสินภิญโญ 4 11.04%

สำหรับสภาพคล่องในการเปลี่ยนมือของหลักทรัพย์ เมื่อพิจารณาถึงเปอร์เซนต์ปริมาณการซื้อขายหน่วยลงทุนเฉลี่ยต่อวันเทียบกับค่าการหมุนเวียนต่อวันของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพบว่ามีเพียงกองทุนสินภิญโญ 4 เท่านั้นที่น่าสนใจ เพราะมีอัตราการหมุนเวียนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งตลาด และกองทุนธนภูมิที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับค่าเฉลี่ยของตลาด นอกนั้นต่ำกว่าตลาดพอสมควร

อย่างไรก็ตาม ในอีกไม่ช้าที่จะมีบริษัทจัดการกองทุนเพิ่มขึ้นอีกถึง 9 แห่ง จากเดิมที่มีเพียงแห่งเดียวคือบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม "บริษัทจัดการกองทุนเหล่านี้จะช่วยสร้างฐานผู้ลงทุนมากขึ้น เมื่อความต้องการซื้อหน่วยลงทุนมากขึ้น สภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยลงทุนจึงควรจะมากขึ้นด้วย" สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นพูดถึงแนวโน้มที่ดีของ UNIT TRUST

จุดที่น่าสนใจของการดึงให้นักลงทุนมาลงทุนใน UNIT TRUST อยู่ที่ความสามารถในการบริหารการลงทุนของหน่วยลงทุนแต่ละหน่วย กองทุนรวมซึ่งทำหน้าที่บริหารลงทุนออกจะได้รับการประเมินยาก เพราะไม่มีคู่แข่งขัน

นอกจากตัวเลขที่เปิดเผยออกมาเพื่อวิเคราะห์เชิงปริมาณแล้ว คุณภาพในการบริหารพอร์ต (PORTFOLIO) เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเพื่อที่จะพยากรณ์ถึงแนวโน้มของคุณภาพของกองทุนว่าต่อไปมูลค่าของกองทุนจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง

นโยบายการลงทุนของกองทุนทั้ง 5 ตามมูลค่าตลาด (ไม่รวมกองทุนร่วมพัฒนา 2 เพราะข้อมูลไม่เพียงพอ) มีนโยบายสอดคล้องกัน เห็นได้จากกลุ่มธุรกิจที่กองทุนถือหุ้นเป็นกลุ่มเดียวกันกล่าวคือนับแต่ปี 2533-2534 สัดส่วนของการลงทุนอยู่ในหุ้นกลุ่มธนาคาร, กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์เป็นหลัก โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 25 ของราคาตลาดของหุ้นสามัญทั้งหมด ส่วนกลุ่มประกันภัย, พาณิชย์ และบริการ รวมกันคิดเป็นประมาณร้อยละ 12 ของราคาตลาดหุ้นสามัญทั้งหมด (พิจารณาสัดส่วนการลงทุนในหุ้นของกองทุนประกอบ)

กลุ่มธุรกิจที่กองทุนลงทุนอยู่นี้ คาดว่ามีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่มูลค่าของกองทุนจะสูงขึ้น

ตรงนี้มีข้อสังเกตว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผู้จัดการกองทุนเหล่านี้ มีรูปแบบการลงทุนที่มีทิศทางคล้ายคลึงกัน

การตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวใดเป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนแต่ละคน ซึ่งจะมีที่ปรึกษาแตกต่างกันไปในแต่ละกอง ทุนส่วนข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจจะมาจากแหล่งเดียวกันคือ ทีมงานวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่การตัดสินใจจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกเหนือจากองค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว ปัจจัยที่นักลงทุนควรจะทราบแต่ไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อนคือใครเป็นผู้จัดการกองทุน

เขาจะมีความสามารถบริหารเงินทุนของเราได้หรือไม่ นักลงทุนจะทราบแต่เพียงองค์กรที่เข้ามาจัดการกองทุนเท่านั้น ดังนั้นถ้าคิดว่าผู้จัดการกองทุนเป็นมืออาชีพจริงก็ควรที่จะเปิดเผยอย่างชัดแจ้ง

สิ่งนี้คือเงื่อนไขสำคัญในด้านข่าวของหน่วยลงทุนที่กองทุนรวมจะต้องเปิดเผยอย่างโปร่งแจ้ง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us