|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดทุนวอนเลือกตั้งตามกำหนดเดิม 23 ธ.ค. นี้ เชื่อกฎหมายลูก 3 ฉบับออกทัน ชี้นักลงทุนรอรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อนโยบายเพื่อกระตุ้นการลงทุน "เศรษฐพุฒิ" ระบุสถิติหุ้นไทย 8 ครั้ง 3 ก่อนการเลือกตั้งขึ้น 9.1% ก่อนทรุดต่อเนื่องโดยหลังเลือกตั้ง 3 เดือนดัชนีวูบ 8.7% แต่รอบนี้ตัวแปรเปลี่ยนหลังปัญหา "ซับไพรม์" โผล่ ยอมรับห่วงเศรษฐกิจสหรัฐชะลอฉุดเศรษฐกิจโลก ด้าน"อาจดนัย" เผยตัวเลขผลกระทบกลางเดือนชี้ชะตาทิศทางตลาดหุ้นโลก
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง กระแสข่าวที่ระบุว่าการเลือกตั้งอาจจะมีการเลื่อนจากที่กำหนดเดิมในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ เนื่องจากอาจติดปัญหากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับอาจจะเสร็จไม่ทัน ว่า ภาคตลาดทุนต้องการให้ปัจจัยทางการเมืองมีความชัดเจน โดยเฉพาะการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะเข้ามาลงทุน
"ผมอยากให้มีการเลือกตั้งเป็นไปตามกำหนดเดิม ซึ่งจะส่งดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยนั้นมีความแข็งแกร่ง แต่อาจจะมีบางด้านที่จะต้องมีการดูแล ส่วนที่จะมีการเลื่อนตั้งนั้นไม่สามารถออกมาเห็นได้ แต่แน่นอนทางด้านตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้อยากให้ภาพทางการเมืองมีความชัดเจนโดยเฉพาะการเลือกตั้ง เพื่อที่จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหาร ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นในการเข้ามาลงทุน" นายปกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการร่วมกันที่จะมีการพัฒนาตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่งทำให้มีความสนใจของนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งตลท.มีแผนที่ชัดเจนในการสนับสนุนให้มีสินค้าใหม่ๆมากขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนแก่นักลงทุน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า นักธุรกิจและนักลงทุนอยากให้การเลือกตั้งเป็นไปตามกำหนดเดิมคือ วันที่ 23 ธ.ค.นี้ โดยเชื่อว่าคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับจะสามารถพิจารณากฎหมายได้ทันเวลา ซึ่งการเลือกตั้งตามกำหนดเดิมมีความสำคัญมาก เพราะจะมีรัฐบาลใหม่ ทำให้เกิดความชัดเจนทางการเมือง ซึ่งตลาดทุนอยากให้รัฐบาลใหม่สานต่อโครงการลงทุน (เมกะโปรเจกต์) โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชน เพื่อลดต้นทุนด้านขนส่งและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
3เดือนก่อนเลือกตั้งหุ้นพุ่ง
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวถึง การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือนจากสถิติที่ใน 8 ครั้งก่อนหน้านี้ พบว่าดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.1% ขณะที่ 2 เดือนก่อนการเลือกตั้งจะปรับตัวลดลง 1.1% และ 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.8%
ขณะที่ช่วงหลังการเลือกตั้ง 1 เดือน พบว่า ดัชนีจะเคลื่อนไหวในลักษณะปรับฐานทำให้ไม่ปรับตัวขึ้นลง แต่จะปรับตัวลดลงถึง 4.1% และ 8.7% ในเดือนที่ 2 และ 3 ตามลำดับ
ทั้งนี้ สถานการณ์ก่อนการเลือกตั้งเมื่อ 8 ครั้งที่ผ่านมากับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้อยู่บนสถานการณ์ที่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก เนื่องจากในรอบนี้น้ำหนักของการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นยังผูกติดกับปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งในส่วนของสหรัฐอเมริการและเศรษฐกิจโลกมากน้อยเพียงใด ทำให้น้ำหนักของข่าวดีเรื่องความชัดเจนในการเลือกตั้งถูกบั่นทอนไป
"แม้ว่าสถิติก่อนการเลือกตั้งจะชี้ว่าก่อนการเลือกตั้งหุ้นมักจะขึ้นแต่ในรอบนี้มันต่างกัน เพราะปัญหาที่ใหญ่กว่าคือซับไพรม์เข้ามามีน้ำหนักในการขึ้นลงของดัชนีมากกว่า"นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดจากปัญหาซับไพรม์ที่จะทยอยออกมาในช่วงต่อจากนี้ ส่วนตัวเชื่อว่ามีอีกหลายเรื่องที่อาจจะทำให้เกิดความกังวลขึ้นมาได้อีก เนื่องจากการประเมินผลกระทบในเรื่องดังกล่าวขณะนี้ยังเป็นไปค่อนข้างยากคงต้องรอให้มีการแสดงข้อมูลที่แท้จริงออกมาโดยจะต้องใช้เวลานานเพียงใดที่ปัญหาดังกล่าวจะนิ่งก็เป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า สิ่งที่จะเห็นอย่างเป็นรูปธรรมจากปัญหาซับไพรม์ คือ การปิดตัวของกองทุนที่ลงทุนในซับไพรม์รวมถึงผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นจะทำให้การไม่จ่ายหนี้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์มีมากขึ้น แต่เรื่องดังกล่าวคงไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยมากนัก แต่สิ่งที่จะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยรวมถึงเศรษฐกิจโลกคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจากปัญหาดังกล่าว โดยต้องติดตามตัวเลขการบริโภคตภาคประชาชน รวมถึงตัวเลขการจ้างงานว่าจะปรับตัวลดลงมากน้อยเพียงใด
"ผลจากซับไพรม์ยังไม่จบลงง่ายๆ น่าจะยังมีกองทุนที่ต้องปิดตัวเพิ่มอีก แต่คงไม่กระทบต่อเศรษฐกิจประเทศไทยมาก แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐโดยมีการคาดการณ์ว่าจะลดลงประมาณ 1%" นายเศรษฐพุฒิกล่าว
3ตลาดหุ้นUSสะท้อนหุ้นโลก
นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เจ.พี. มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัญหาในเกี่ยวกับซับไพรม์ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ในเอเชียตลาดหุ้นเกือบทุกแห่งยกเว้นตลาดหุ้นจีนที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้สิ่งที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ตัวเลขผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่จะเริ่มประกาศออกมาในช่วงกลางเดือนนี้จะสะท้อนปัญหาในวงกว้างมากน้อยเพียงใด โดย 3 ตลาดหุ้นใหญ่ในสหรัฐจะเป็นสิ่งที่สะท้อนได้ถึงปัจจัยดังกล่าวได้เป็นอย่างดีและอาจจะเป็นการวางกรอบการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงต่อจากนี้
"ที่ผ่านมา 3 ตลาดหุ้นในสหรัฐณ ทั้งดาวโจนส์ แนสแด็ก และ S&P 500 ไม่ได้เป็นตลาดหุ้นที่กำหนดการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ปัจจุบันการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั้ง 3 แห่งสะท้อนการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลกได้เพราะผลที่เกิดจากการปรับตัวลดลงใน 3 ตลาดหุ้นดังกล่าวอาจจะทำให้มีการเข้ามาถอนการลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆตามไปด้วย"
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.บีฟิท กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% โดยสิ้นปีนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 905 จุด เนื่องจากประเมินจากช่วงที่ผ่านมานั้นหากจะมีความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้ ก่อนการเลือกตั้งเชื่อว่าจะมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 0.25% ในการประชุมวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูง
"เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยก่อนการเลือกตั้งจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับอดีตก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนั้นดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 13-15% ขณะที่วอลุ่มหวังว่าจะอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท จากที่ปีก่อนเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท"นายเอกพิทยากล่าว
ตลาดหุ้นซึมไร้ปัจจัยหนุน
ด้านภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (6 ก.ย.) เกือบตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ ก่อนปรับตัวลดลงมาปิดที่ 809.82 จุด ลดลง 4.68 จุด หรือ 0.57% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 815.16 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 809.31 จุด มูลค่าการซื้อขาย 11,411.13 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,137.50 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 306.49 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 831.01 ล้านบาท
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติจะยังชะลอการลงทุนแม้ว่าก่อนหน้านี้เริ่มมีแรงซื้อสุทธิเข้ามาบ้าง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติอยากจะเห็นรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งที่มุ่งเน้นนโยบายส่งเสริมการลงทุน และโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐฯที่จะมีขึ้น ตลอดจนสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคมากขึ้น
|
|
 |
|
|