Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2535
"จดหมายถึงลูก"             
โดย สุปราณี คงนิรันดรสุข
 


   
search resources

ธารินทร์ นิมมานเหมินท์
ศิรินทร์ นิมมานเหมินท์
ไกรศรี นิมมานเหมินท์




"จดหมายถึงลูก" นี้เป็นของไกรศรี นิมมานเหมินท์ เขียนถึงบุตรชายสุดที่รักสองคน คือ ธาริน นิมมานเหมินท์ และศิรินทร์ นิมมานเหมินท์ ที่ออกไปรับการศึกษา ณ ต่างประเทศ

หลังจากที่ทั้งคู่จบจากโรงเรียนมงฟอร์ตที่เชียงใหม่แล้ว ได้ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนกินนอนชั้นนำในวงการทูตชื่อ "วู้ดสต็อค" ในเมืองมัสสูรี รัฐอุตรประเทศ ประเทศอินเดีย แล้วไปต่อที่โรงเรียนโช้ต เมืองวอลลิงฟอร์ด รัฐคอนเนคติกัต สหรัฐ

ธารินทร์จบปริญญาตรีเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แล้วต่อเอ็มบีเอที่สแตนฟอร์ด แคลิฟอร์เนีย ขณะที่ศิรินทร์จบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนและศึกษาต่อเอ็มบีเอที่สแตนฟอร์ดเช่นกัน

จดหมายทั้ง 19 ฉบับนี้เขียนขึ้นระหว่างปี 2504-2512 ขณะที่บุตรทั้งสองเป็นวัยรุ่น ในจดหมายได้เรียกชื่อ ธารินทร์ว่า "น้อย" และเรียกชื่อศิรินทร์ว่า "หนุ้ย"

ไกรศรีได้ถ่ายทอดถ้อยคำอันลึกซึ้งที่มีความหมรายประหนึ่งมรดกทางความคิดที่ให้หลักชีวิตในการเข้าใจและปฏิบัติตนให้เจริญก้าวหน้า นับว่าเป็นความตั้งใจที่ไกรศรีย้ำเสมอ

"เมื่อวานนี้ ป๋าได้นั่งคุยกับ ชมพู อรรถจินดา ทนายความที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนี้ของประเทศไทย เขาพูดว่าบุคคลที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างบริบูรณ์ในชีวิตนั้น หาใช่บุคคลที่เรียนเก่ง สอบไล่ได้ที่หนึ่ง หรือมีปริญญาอันสูงแต่เท่านั้นไม่ แต่เขาจะต้องมีเพื่อนฝูงให้มาก และรู้จักคนคนหลายชั้น หลายประเภท และจะต้องเป็นนักกีฬาที่ดีด้วย ทั้งสามสิ่งนี้จะแยกออกจากกันไม่ได้" (อ้างถึงจดหมายวันที่ 10 ก.ย. 2506)

ถ้อยคำที่ลึกซึ้ง ไกรศรีได้บรรจงเขียนไว้ มีบางตอนที่ทิ้งไว้ให้ลูกรู้จักคิดให้เป็นและเข้าใจเอาเองอย่างถ่องแท้ เพื่อแสวงหาทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับชีวิตตัวเอง

"ได้อ่านเรื่องฝันหวานของน้อยแล้ว ก็รู้สึกยินดีในความมักใหญ่ใฝ่สูงของเขาที่ต้องการจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขอเตือนมาว่าในเมืองไทยเรา การเป็นนักการเมืองยังได้รับการดูถูกมากมาย และไม่เคยมีใครคิดว่านักการเมืองเป็นคนซื่อเลย แทบทุคนเอาความเป็นนักการเมือง และความเป็นข้าราชการเข้าไปเกลือกกลั้วกับการสร้างความร่ำรวย และการคอรัปชั่นให้แก่ตนเอง เพราะฉะนั้น ถ้าน้อยมีความคิดที่อยากจะเป็นนักการเมือง ก็จะต้องเริ่มปฏิวัติทุกอย่างหมด จะต้องเป็นนักการเมืองชนิดที่ขาวสะอาด ที่จะนำเกียรติมาสู่วงศ์ตระกูลในภายหน้า เรื่องนี้จะต้องคิด และจะต้องตัดสินใจเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าถ้าอยากเป็นนักการเมืองที่ดี ก็อย่าเป็นห่วงในการที่จะสร้างความร่ำรวยแก่ตนเอง และในเรื่องความร่ำรวยนี้จะต้องเสียสละไปสิ้น" (อ้างถึงจดหมายลงวันที่ 16 กันยายน 2507)

นี่คือปฐมเหตุที่ทำให้ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ นักศึกษาฮาร์วาร์ดหนุ่มคนนี้เบนเข็มทิศชีวิตจากเส้นทางนักรัฐศาสตร์สู่นายธนาคารด้วยคุณภาพชีวิต PERFECTIONIST ทำให้ธารินทร์ประสบความสำเร็จได้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มจวบจนปัจจุบัน

เส้นทางชีวิตนายธนาคาร ธารินทร์ได้เดินเจริญตามรอยพ่อ ซึ่งเคยทำงานเป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศ ธนาคารไทยพาณิชย์ (ปี 2483) ผู้อำนวยการเขตภาคเหนือ ธนาคารนครหลวงไทย (ปี 2489-2499) ผู้อำนวยการเขตภาคเหนือและกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ (ปี 2499-2507) ผู้จัดการทั่วไปบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมฯ (ปี 2507-2513) และจัดตั้งบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยพัฒนาในปี 2513

อันที่จริง ก่อนที่จะส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ไกรศรี ได้สร้างโครงการเพื่อวางแผนชีวิตในอนาคตของลูกไว้ก่อนแล้ว ซึ่งผิดกับลูกของคนอื่นที่พ่อแม่ไม่สู้สนใจ ปล่อยให้เด็กคลำหาทางช่วยตนเอง โดยปราศจากความช่วยเหลือของพ่อแม่

"ลูกคงจะจำได้ดีว่า ป๋าได้เคยพูดอยู่เสมอเกี่ยวกับเรื่องมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในสหรัฐ ฉะนั้นชื่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ คงจะชินหูลูกเป็นอย่างดีแล้ว แม้เสื้อที่ลูกสวมเมื่อยังเป็นเด็ก ๆ แม่ก็ได้ปักตรามหาวิทยาลัยเก่าของป๋าติดไว้ที่หน้าอกเสื้อ ตั้งแต่สอนลูกหัดเดิน จนกระทั่งเข้าเรียนชั้นมูล ในโรงเรียนเรยินาลี ลูกก็ยังสวมเสื้อที่ปักรูปตราอาร์มของมหาวิทยาลัยเก่าของป๋า เป็นสิ่งเตือนใจเสมอว่า จะต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นดีให้ได้….

ป๋าแม่ยอมทุ่มเทเพื่อการศึกษาที่ดีของลูก หาได้เท่าใดก็เจียดไว้ใช้เพียงเล็กน้อยเพื่อส่งลูกทั้งสองมาเรียนหนังสือ ป๋าแม่เองก็มิได้ร่ำรวยไปกว่าญาติพี่น้องคนอื่น แต่เราถือว่าการศึกษาเป็นการให้มรดกแก่ลูก และเมื่อลูกไดรับการศึกษาเป็นอย่างดีแล้ว วิชานั้นแหละจะเลี้ยงชีพลูกไปได้อย่างสบายตลอดชีวิต" (อ้างถึงจดหมายลงวันที่ 25 เมษายน 2509)

จดหมายแต่ละฉบับไกรศรีจะเขียนเรื่องราวหลายด้าน เป็นการส่งข่าวคราว หรือแจ้งเหตุทางเมืองไทยให้ลูกทั้งสองทราบ บางครั้งก็แทรกความรู้สารคดีประกอบด้วย ทำให้จดหมายเหล่านี้มีรสชาติยิ่งขึ้น

บ่อยครั้งที่หัวจดหมายจะขึ้นต้นสถานที่เขียนว่าเป็นบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้เพราะระหว่างปี 2507-2513 ไกรศรีดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไป โดยก่อนหน้านี้ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้เสนอตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของธนาคารมณฑล แต่ไกรศรีปฏิเสธไม่รับ ต่อมา ดร. ป๋วย ได้เสนองานที่บรรษัทเงินทุนฯ ในตำแหน่งรองผู้จัดการ โดยมี ยม ตัณฑเศรษฐี เป็นผู้จัดการใหญ่

ด้วยสาเหตุที่ไกรศรีประสบปัญหาเขียนหนังสือไม่ได้ถนัดเพราะข้อมือมีโรคเกาต์รบกวน ประกอบกับเหตุผลที่เขียนได้ไม่เร็วเท่าความคิด ทำให้วิธีการเขียนจดหมายแต่ละฉบับของไกรศรีจะมีลักษณะ "จดตามคำบอก" โดยมีนายอินสมจดแล้วให้คุณชั้นไปพิมพ์อีกต่อหนึ่ง

จดหมายทุกฉบับ ไกรศรีได้ขอให้บุตรคนหนึ่งส่งสำเนาไปให้อีกคนหนึ่งอ่านเสมอ เพราะไกรศรีจะสลับกันเขียนถึง "น้อย…ลูกรัก" บ้าง หรือ "หนุ้ย…ลูกรัก" บ้าง

ยามที่ลูกคนใดคนหนึ่งท้อถอย จดหมายของพ่อจะเปรียบประดุจกำลังใจที่หล่อเลี้ยงให้ลุกขึ้นสู้กับอุปสรรคและมุมานะจนประสบความสำเร็จ เพราะหนทางอันแสนไกลเหมือนคนละฟากฟ้านั้น สื่อแห่งความคิดที่ดีที่สุดคือจดหมายที่สามารถเก็บรักษาและอ่านทบทวนเนื้อความหลาย ๆ ครั้งได้สมใจ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us