Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2535
"เปิดเสรีภาพทีวี-วิทยุ อันตราย..?"             
โดย นฤมล อภินิเวศ วิลาวัณย์ วิวัฒนากันตัง โสภิดา วีรกุลเทวัญ
 

 
Charts & Figures

รายการวิทยุที่อยู่ในความนิยม
ประเภทของหนังสือพิมพ์ที่ผู้ร่วมเหตุการณ์สนใจจำแนกตามเพศ กลุ่มอายุ และระดับรายได้


   
search resources

News & Media
Political and Government
สุจินดา คราประยูร, พล อ.




การชุมนุมต่อต้านนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนกลางอย่างพลเอกสุจินดา คราประยูร ได้กลายเป็นชนวนทำลายความเชื่อถือต่อข่าวทีวี-วิทยุซึ่งเป็นเครื่องมือของรัฐอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังเป็นการหักโค้งครั้งสำคัญของธุรกิจสื่อสารมวลชนของสื่อทีวี-วิทยุ เพราะรัฐบาลหลงเข้าใจผิดว่าสื่อของรัฐคือสื่อของรัฐบาล และถ้าให้เสรีภาพก็จะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ทำไม…? และแนวโน้มธุรกิจสื่อทีวี-วิทยุและหนังสือพิมพ์จะเป็นอย่างไรต่อไปท่ามกลางกระแสสังคมที่อยู่ในโลกของการสื่อสาร…?

"ข่าวด่วนพิเศษ"

คำสั้น ๆ ที่ปรากฏด้วยความถี่เป็นระยะ ๆ บนหน้าจอทีวีทุกช่องตลอดช่วงของการชุมนุมต่อต้านนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอกยุค พลเอกสุจินดา คราประยูร นายกฯ คนที่ 19 ของเมืองไทยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่น่าเชื่อถือของคนดูไปอย่างถ้วนหน้า

ประหนึ่งดูเพื่อจับโกหกว่ารัฐบาลจะบิดเบือนข่าวอย่างไรอีกมากกว่า..!

ขณะที่หนังสือพิมพ์กลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า บางคนถึงขนาดลุกขึ้นมาซื้ออ่านตั้งแต่ตีสี่ เพราะอยากรู้ข่าวเร็วและกลัวหนังสือพิมพ์หมดแผง อีกทั้งโทรศัพท์เช็กตามหนังสือพิมพ์เป็นช่วง ๆ เมื่อมี "ข่าวด่วนพิเศษ" จากทีวี

เครดิตข่าวทีวี-วิทยุต้องล่มสลายลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่สื่อทีวีและวิทยุล้วนแล้วแต่เป็นของรัฐแทบทั้งสิ้น จนบรรดาผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้นำรัฐบาลหรือกองทัพ หลงเข้าใจไปว่าสื่อทั้งสองก็คือสื่อของรัฐบาลเต็มรูปแบบ

อันที่จริง สื่อของนัฐก็คือสื่อของประชาชนมีหน้าที่ที่จะสื่อข้อมูลข่าวสารไปสู่คนดูอย่างรอบด้าน ถูกต้องเที่ยงธรรมเพื่อเดินไปสู่เป้าหมายของประเทศอย่างเสรีชน แต่ทีวีก็เป็นของรัฐทุกช่อง ทั้งที่รัฐบาลไม่เคยตรากฎหมายหรือนโยบายห้ามเอกชนตั้งสถานีทีวีและวิทยุเป็นลายลักษณ์อักษร หากแต่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายกฯ มากกว่า

จะเห็นว่าช่อง 3 ช่อง 9 และช่อง 11 ของกรมประชาสัมพันธ์อยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีส่วนช่อง 5 และช่อง 7 สังกัดกระทรวงกลาโหม

ขณะที่ปัจจุบันมีสถานีวิทยุกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ สัดส่วนที่เป็นของกระทรวงกลาโหมคิดเป็น 36% ของประเทศ หรือประมาณ 64% ของสถานีวิทยุราชการ

ที่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีคิดเป็น 31% แยกเป็นของกรมประชาสัมพันธ์ 91% และเป็นขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) อีก 9%

นอกจากนี้ ยังอยู่ในสังกัดของราชการเช่น กระทรวงคมนาคม 4% มหาดไทย 4% ทบวงมหาวิทยาลัย 3% และศึกษาธิการ 1% ส่วนที่เป็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรฯ และสำนักพระราชวังอย่างละหนึ่งสถานี

รวมเบ็ดเสร็จที่สังกัดทางราชการประมาณ 80% และเป็นของเอกชนประมาณ 20% เท่านั้น

ทุกสถานีจะอยู่ในความควบคุมดูแลของคณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์หรือ กบว. โดยมีกรมประชาสัมพันธ์เป็นกองงาน กบว. ซึ่งจะมีโครงสร้างการบริหารโดยมีตัวแทนจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ร่วมเป็นกรรมการ (โปรดดูตาราง "โครงสร้าง กบว.") ส่วนกรมไปรษณีย์โทรเลขจะเป็นผู้ดูแลและบริหารความถี่ของคลื่นวิทยุทั้งหมด

เห็นได้ชัดว่า บอร์ด กบว. นั้นจะมีตัวแทนจากหน่วยงานด้านทหารและความมั่นคงทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ เสนาธิการทหาร หรือผู้บัญชาการของทั้ง 3 เหล่าทัพ อันเป็นรากฐานของสังคมไทยที่เน้นนโยบายเรื่องความมั่นคงของชาติเป็นหลักตลอดช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะช่อง 5 จะมี กบว. ทหารคอยควบคุมอีกทอดหนึ่ง

ทั้งทีวีและวิทยุจึงไม่อาจสลัดโซ่ตรวนจากรัฐบาลและก้าวไปสู่ความมีอิสระได้ เพราะทีวีและวิทยุเป็นสื่อที่มีลักษณะพิเศษต่างจากสื่อหนังสือพิมพ์

ความต่างของสื่อแต่ละประเภท ผนวกกับการพัฒนาของชนชั้นกลางที่เติบโตขึ้นท่ามกลางความหยุดนิ่งของฝ่ายอำนาจทหาร ได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้กลุ่มชนออกไปร่วมสร้างม็อบชนชั้นกลางหรือม็อบมือถืออันยิ่งใหญ่และกว้างขวางทั่วประเทศอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

แม้ว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทีวีได้พัฒนาและปรับปรุงรูปแบบ รวมถึงเทคโนโลยีในการเสนอข่าวอย่างครึกโครมและชัดแจ้ง จนสร้างความเชื่อถือตามข่าวทีวีที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในยุคที่สมเกียรติ อ่อนวิมล เริ่มเข้าสู่วงการและพลิกโฉมข่าวทีวีใหม่ แต่แล้วเครดิตต่อข่าวทีวีที่มีอยู่ก็สิ้นสลายไปในช่วงสั้น

ขณะเดียวกันได้ไปสร้างความนิยมและสนใจต่อหนังสือพิมพ์มากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งกับ "ชนชั้นกลาง" กลุ่มสังคมที่พัฒนาขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครให้ความสนใจมาก่อน ทั้งที่ "ชนชั้นกลาง" กับสื่อสิ่งพิมพ์หรือแคบลงมาในรูปแบบของหนังสือพิมพ์นั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นและแฝงลึก โดยมีประวัติศาสตร์ที่อธิบายได้อย่างเป็นระบบ

ถ้าถอดภาพพัฒนาการของสื่อแต่ละชนิด จะพบว่าสิ่งพิมพ์เกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว โดยนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า "ชนชั้นกลาง" เริ่มเติบโตเห็นชัดเมื่อต้นรัตนโกสินทร์ เฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเริ่มมีค่านิยมตะวันตกเข้ามาสู่สังคมไทย มีนักคิดที่ไม่ใช่บรมวงศานุวงศ์มาทำงานด้านสื่อมวลชน พอยอมรับเข้ามา ก็เริ่มผลิตสิ่งพิมพ์จนงอกเงยอย่างรวดเร็ว เช่น เทียนวรรณ กศร. เป็นต้น

กระทั่งตอนหลังออกมาเป็นหนังสือพิมพ์ ช่วงแรกที่เริ่มต้นซื้อแท่นพิมพ์เข้ามาในรัชกาลที่ 4 ก็ใช้ส่วนขยายของศาสนา เพื่อเผยแพร่แข่งกับศาสนาคริสต์ ก็มีจุดประสงค์เพื่ออ่านกันเองในหมู่ราชวงศ์ ขุนนาง ชนชั้นสูง หรือข้าราชการใหม่ เช่น ทหาร ตำรวจ ซึ่งเป็นช่วงต่อของสังคม จนมีการส่งคนไปเรียนต่อเมืองนอก คนมีการศึกษาเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่มาก หนังสือพิมพ์จึงอยู่กลุ่มคนอ่านเพียงไม่กี่พันคน

เมื่อมีไฟฟ้าเกิดขึ้น เทคโนโลยีของระบบสื่อสารมวลชนเริ่มเปลี่ยนแปลง ทีวีและวิทยุเข้ามาทำให้หนังสือพิมพ์ค่อนข้างหลุดวงโคจรของการควบคุมมากกว่าทีวี วิทยุ

เนื่องจากชนชั้นสูงมองว่า คนไทยโตจากสังคมของการเป็นผู้ฟังมากกว่ามีนิสัยรักการอ่านเขียน ทำให้รัฐบาลหวั่นวิตกต่อสื่อทีวีและวิทยุมากกว่าหนังสือพิมพ์ เพราะทีวีและวิทยุเป็นสื่อที่เข้าถึงคนฟังได้ง่าย ไม่ต้องอาศัยความรู้ในการรับรู้สื่อนั้นมากอย่างการอ่านหนังสือพิมพ์ อันเป็นไปตามสภาพสังคมไทยเหมือนที่ถูกจัดอยู่ในโลกที่ 3 ไม่ใช่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่ 1

ยิ่งกว่านั้น ทีวีเป็นสื่อที่มีเสียง ภาพ สีสันที่เร้าความสนใจได้มากกว่า ประกอบกับประเทศไทยโตจากสังคมที่เน้นเพื่อความมั่นคงของรัฐ ก็ยิ่งทำให้รัฐบาลไม่ไว้ใจสื่อทีวี-วิทยุ ด้วยเหตุว่าโน้มน้าวคนได้ง่าย รับรู้และเข้าถึงประชาชนได้รวดเร็ว และกว้างขวาง

กระทั่งเกิดการปฏิวัติเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2535 ทีวีก็ยังถูกสงวนให้เป็นสื่อของรัฐเหมือนเดิม..!

หลายครั้งที่รัฐบาลพูดว่าจะปลดปล่อยให้เสรีภาพแก่ทีวี-วิทยุ แต่ก็ไม่เคยมีรัฐบาลยุคไหนกล้าทำ เพราะเป็นเครื่องมือของรัฐและควบคุมความคิดของประชาชนได้สะดวกกว่าหนังสือพิมพ์ ดังนั้น นโยบายที่ว่าจะให้เสรีภาพ ถ้าจะมีขึ้นบ้างก็เฉพาะกับหนังสือพิมพ์เท่านั้น ทั้งที่การเปิดสถานีโทรทัศน์ลงทุนเพียงไม่กี่พันล้าน และสถานีวิทยุใช้เพียง 20 ล้านบาทเท่านั้น

"อย่างสมัยนายกฯ ชาติชาย ก็เคยคิดอยากมีก็ยังเป็นกองทัพบก เรือ และกองทัพอากาศ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจจะเปิดกว้างสื่อทีวีหรือไม่นั้นอยู่ที่รัฐบาลจะตัดสินใจ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้สรุปก็เกิดปฏิวัติ (23 ก.พ. 2534) ก่อน" สุรพงษ์ โสธนะเสถียร อาจารย์คณะวารสารศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงอำนาจและนโยบายของรัฐต่อสื่อทีวี

แต่รัฐบาลก็ไม่กล้า เพราะถ้าเปิดเสรีทีวี-วิทยุ รัฐบาลก็จะมีคู่ต่อสู้มากขึ้นนอกเหนือจากหนังสือพิมพ์ที่มีอยู่แล้ว…! ทว่าเหตุการณ์ชุมนุมต่อต้านนายกฯ จากคนกลางอย่าง พลเอกสุจินดา ที่ขึ้นมาเป็นนายกฯ อย่างทุลักทุเลนั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่ายิ่งรัฐบาลสุจินดาออกข่าวด้านเดียวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เขามีคู่ต่อสู้ทางความคิดมากขึ้นเป็นเท่าทวี และประชาชนก็ดิ้นรนขวนขวายหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ รอบด้านเพื่อประมวลข้อเท็จจริงด้วยตัวเองยิ่งกว่าเดิม

ขณะที่กลุ่มชนในสังคมได้พัฒนาขึ้นสู่ "ชนชั้นกลาง" (โปรดอ่าน "ชนชั้นกลาง : กระฎุมพี ใหม่เป็นใคร มาจากไหน..?") อันสอดรับกับกระแสของโลกข่าวสารที่เคลื่อนไหวและพลิกผันไปทุกขณะ แต่รัฐบาลภายใต้การครอบงำของอำนาจทหารยังคงใช้สื่อและวิธีต่อสู้ทางความคิดในระบบเก่า ซึ่งหยุดนิ่งอยู่กับที่เท่ากับว่าเป็นวิธีการถอยหลังจนทำให้รัฐบาลจนมุมตัวเองในที่สุด..!

"เชื่อไม่ได้"

แทบจะเป็นความรู้สึกสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันของคนดูรายการข่าวการชุมนุมจากทีวี

"นั่นก็เพราะว่าทีวีได้พัฒนาไปมากเหมือนกับเป็นสงครามจิตวิทยาในประเทศ มีขั้นตอนและลักษณะการตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างฉับพลันได้ดีที่สุด โดยรัฐบาลระดมใช้อย่างหนักทั้งทีวีวิทยุจากฐานข้อมูลที่มีอยู่" บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา คณบดีคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สะท้อนสื่อทีวีตลอดช่วงของการชุมนุมประท้วง

ขณะที่กลุ่มคนในสังคมก็พัฒนาเป็นลำกับ จำนวนคนมีความรู้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าคนจบปริญญาตรีเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก คนที่จบจากต่างประเทศก็มีอัตราสูงกว่าเก่าหลายพันคนต่อปี จากเดิมที่นับคนได้

จำนวนคนหนุ่มสาวจาก 30% เศษในปี 2516 ก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 61% ของประชากรทั้งประเทศ

ประกอบกับกระแสโลกที่ก้าวไปสู่ยุคแห่งข้อมูล กลุ่มคนชนชั้นกลางเหล่านี้จึงกระหายที่จะได้ข่าวสารอย่างหลากหลายจากการลิ้มรสประชาธิปไตยในห้วงหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะตั้งแต่ยุค 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา และยากที่กลับไปสู่ยุคเก่าอีกต่อไป

วันนี้ "ชนชั้นกลาง" ได้แสดงตัวและความต้องการของตนอย่างเห็นได้ชัดเจนจนกลุ่มอำนาจที่ติดอยู่ในระบบเก่าไม่อาจจะเข้าใจได้

ประเด็นนี้ จะเห็นได้จากช่วงต่อประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นครึ่งใบ เสี้ยวใบหรือแบบไทย ๆ ก็ตาม

หากย้อนไล่ภาพเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หลังจากที่ได้ขับไล่ 3 ทรราช คือ จอมพลถนอม กิตติขจร ประภาส จารุเสถียร และณรงค์ กิตติขจร อันเป็นกลุ่มอำนาจผูกขาดออกไปจากวงจรการเมืองช่วงนั้นแล้วพูดได้ว่า ประชาชนตื่นตัวในการรับรู้ข่าวสารในยุคประชาธิปไตยเบ่งบานอย่างเต็มที่

"หลัง 14 ตุลา 16 จนถึงก่อน 6 ตุลา 19 มีการใช้สื่อกันมาก ทั้งของพรรคการเมือง ธนาคาร ทหาร เรียกว่าระดมใช้สื่อ (ทั้งทีวีและวิทยุ) เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ แต่อาจจะไม่ชัดเจน ไม่เข้มข้น ไม่ต่อเนื่องเท่ากับระยะ 5-6 สัปดาห์ที่ผ่านมา (ตั้งแต่เดือนเมษายนหลังจากที่มีการชูพลเอกสุจินดาขึ้นเป็นนายกฯ แทนณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ตัวเต็งเรื่อยมาถึงค่อนปลายเดือนพฤษภาคม) เพราะช่วงมันยาวและการเมืองขณะนั้นเป็นการเมืองเปิด" บุญรักษ์ คณะบดีคณะวารสารฯ ธรรมศาสตร์เปรียบเทียบบทบาทของสื่อทีวีและวิทยุแต่ละยุค

ระยะนั้น มีการแข่งขันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ แบ่งกันเป็นฝ่าย ๆ ที่อาจจะมาคุ้มครองหรือขัดขวางการใช้สื่อของรัฐ หรือของเอกชน รูปแบบนี้ชัดเจนมากไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้ายแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ หรือเสรีประชาธิปไตย นับว่าเป็นบรรยากาศแบบเปิดกว้างมากเพราะประชาชนถูกปิดกั้นมานาน

การใช้หนังสือพิมพ์แข่งขันและต่อสู้ทางอุดมการณ์การเมืองเคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างต่อเนื่องจากอดีต เช่น สมัย จอมพล ป. หรือสมัย ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษก็ใช้หนังสือพิมพ์สู้โต้แย้ง เขียนและอ่านกันเองสำหรับคนห้าหกพันคนในกรุงเทพฯ อ่านกัน เนื่องจากประชาชนสมัยนั้นแทบไม่อยู่ในขอบเขตความคิดทางการเมือง ไม่มีส่วนที่จะไปกำหนดอะไรได้

พอหลัง 6 ตุลาคม 2519 ประมาณ 6-12 เดือน มีการระดมสื่อเพื่อสร้างและจัดระบบสังคมใหม่ หลังจากที่เกิดการนองเลือด กวาดจับประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์จำนวนมาก

เรียกว่าเป็นการหาผลประโยชน์ทางการเมืองอุดมการณ์ในเชิงของโครงสร้างเป็นการโฆษณาที่ซ่อนรูป ว่าไทยควรจะมีการปกครองแบบนั้นแบบนี้ภายใต้กลุ่มอำนาจทางการทหารที่เรียกกันว่าขวาจัด ในตอนนั้นว่าเหมาะกับเมืองไทยที่สุดซึ่งตรงกับยุคของรัฐบาล ธานินทร์ กรัยวิเชียร

ทั้งทีวีและวิทยุมีการเติบโตอยู่ตลอดเวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะเป็นฐานการเงินของรัฐ จึงมีกลุ่มต่าง ๆ ผลักดันให้มีมากขึ้น และมีช่องทางหาเงินตลอดเวลา "เป็นการเติบโตที่สม่ำเสมอ โดยไม่สัมพันธ์กับตลาดนัก นั่นก็คือ ทีวีมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอยู่เรื่อย ๆ วิทยุก็มีจำนวนสถานีมากขึ้น แต่เนื้อหายังคงเดิม และแน่นอนว่าจะโตยิ่งขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจดี" บุญรักษ์ชี้ถึงประเด็นการขยายตัวของสื่อทีวีและวิทยุว่าแม้จะแพร่หลายมากขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจซึ่งเวลานั้นยังอยู่ในสภาพที่สงบนิ่งและสำคัญรองจากความมั่นคงของชาติ

ล่าสุด มาถึงยุคที่เศรษฐกิจกำลังก้าวกระโดดไปด้วยดี หลังการเลือกตั้งวันที่ 22 มีนาคมศกนี้ ฝ่ายปกครองได้ระดมใช้สื่ออย่างหนักหน่วงอีกครั้ง

โดยเฉพาะเมื่อมีการชี้ว่า พลเอกสุจินดา คือคนที่จะขึ้นมาเป็นนายกฯ คนที่ 19 ได้อย่างเหมาะสมที่สุด หลังจากที่ณรงค์ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ตัวเก็งในขณะนั้นกำลังโดนกระหน่ำด้วยเรื่องที่สหรัฐฯ งดออกวีซ่าเข้าประเทศ จนกลายเป็นข้อด้อยที่ประชาชนต่อต้านอย่างทั่วหน้าแล้ว ก็ได้ใช้สื่อทีวีและวิทยุสนับสนุน พลเอกสุจินดา ระลอกแล้วระลอกเล่า

ช่วงแรก คือช่วงก่อนถึงวันแต่งตั้งสื่อโดยเฉพาะทีวีจะถูกใช้เพื่อสร้างบารมีให้ พลเอกสุจินดา เช่น มีม็อบมามอบดอกไม้ให้มากมายหลายกลุ่ม ซึ่งมีรูปลักษณ์และท่วงทำนองที่คล้ายคลึงกันอย่างยิ่งจนกลายเป็นการสร้างบารมีที่น่าสงสัย

พอสร้างบารมีได้ไม่กี่วัน ก็มีกระแสต่อต้านจึงเริ่มใช้นโยบายเพิกเฉยต่อฝ่ายต่อต้านคนกลางเป็นนายกฯ โดยไม่ออกข่าวให้ ไม่ว่าใครจะชุมนุมประท้วงคัดค้านด้วยกลุ่มชนที่มากขึ้นเท่าไหร่ก็ตาม จนเริ่มมีคำถามมากขึ้น ๆ ว่าทำไมทีวีไม่ออกข่าวฝ่ายชุมนุมเลย ขณะที่เขาอำลากองทัพด้วยคำพูดที่เจือด้วยน้ำตา นัยว่าจำเป็นต้อง "เสียสัตย์เพื่อชาติ" ซึ่งแทนที่จะเป็นบุคลิกเรียกความเห็นใจจากประชาชน ดูเหมือนว่าจะทำให้คนหมั่นไส้และขุ่นเคืองใจเสียยิ่งขึ้น

ช่วงที่สาม เรียกว่าเป็นช่วงรุก ด้วยการทำลายผู้ชุมนุมต่อต้าน โดยออกข่าวว่าผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มที่เล่นนอกสภานอกระบบ พลเอกสุจินดาย้ำด้วยคำพูดซ้ำ ๆ ว่าตนขึ้นมาเป็นนายกฯ ในระบบแม้ว่าจะขลุกขลักเต็มประดาก็ตาม ถ้าจะไปก็ไปตามระบบไม่ใช่ตามคำเรียกร้องของผู้ชุมนุม

ยิ่งกว่านั้น เขามองว่ากลุ่มชุมนุมนั้นเป็นม็อบจัดตั้งทั้งสิ้น ถึงขนาดพูดว่าถ้าจะเอาสัก 5 ล้านคน ตนก็หามาได้ ส่วนใครจะอดข้าวประท้วงก็อดไป เพราะถ้าขืนลาออกเพราะมีคนอดข้าวก็แย่เพราะมีคนอดข้าวทุกวัน ทั้งที่เป็นคนละประเด็น เนื่องจากคนที่ยังต้องอดข้าวอยู่เป็นจำนวนมากตามถิ่นทุรกันดารนั้นเพราะไม่มีอะไรจะกินต่างหาก

การทำลายผู้ชุมนุมต่อต้านในช่วงที่สามนี้มีหลายระยะ

เมื่อถูกฝ่ายค้านพุ่งเป้าหระหน่ำไปยังตัวพลเอกสุจินดาว่าไม่มีความเหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นนายกฯ เพื่อบริหารนโยบายให้เป็นจริงได้กระทั่งวันประชุมแถลงนโยบายเป็รนวันที่สองได้อ้างความชอบธรรมว่า ที่ขึ้นมาเป็นนายกฯ นั้นเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ห้ามคนนอก

แต่ที่สำคัญคือ การอ้างสถานการณ์ว่าเป็นช่วงที่มีนายทหารที่ตนคุ้นเคยและเป็นผู้นำพรรคการเมืองบางคนกำลังจะนำประเทศไปสู่ระบบสภาเปรซิเดียมตามที่ใฝ่ฝัน ซึ่งรู้กันว่าหมายถึง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่

มิหนำซ้ำ ยังมีนักการเมืองบางคนคิดจะตั้งลัทธิศาสนาใหม่ขึ้นมา นี่ก็เป็นที่รู้กันอีกเช่นกันว่า กระสุนนัดนี้ยิงไปที่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง โดยตรง จากนั้น อุกฤษ มงคลนาวิน วุฒิสมาชิกและประธานรัฐสภาในขณะนั้นก็รีบสั่งปิดประชุมทันที

เป็นที่น่าสังเกตว่าการแถลงของพลเอกสุจินดาเรียกเสียงโห่ฮาจากที่ประชุมในแต่ละข้อกล่าวอ้าง การประชุมสภาฯ ครั้งนี้ถ่ายทอดสดทางทีวีช่อง 9 แต่เมื่อมีการนำภาพมาเสนอใหม่เป็นภาพที่ถูกตัดต่อแล้ว หลายคนเริ่มไม่พอใจและลดความเชื่อถือลงไป

นอกจากนี้ คนที่มีความเห็นไม่ตรงกับฝ่ายชุมนุมต่อต้านซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้จะได้ออกทีวีตลอดเวลารวมไปถึงการเจาะจงไปสัมภาษณ์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ถึงผลกระทบของสภาเปรซิเดียมว่าจะเป็นอันตรายต่อประเทศและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร ภาพเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความพยายามที่จะทำลายความน่าเชื่อของสองผู้นำพรรคการเมืองและกลุ่มชุมนุม

ดังนั้น เมื่อมีชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 17 จนกลายเป็นพฤษภาวิปโยค รัฐบาลก็คงใช้ทีวีและวิทยุออกข่าวด้านเดียวอย่างต่อเนื่องเป็นระบบเพราะมองว่านี่เป็นเกมรุกในการทำลายเครดิตและความชอบธรรมของกลุ่มชุมนุม

แต่แล้วรัฐบาลก็ต้องพ่ายแพ้ตัวเอง เพราะประชาชนในสังคมวันนี้ มิใช่กลุ่มคนที่จะคอยรับและเชื่อข่าวจากรัฐบาลแต่เพียงด้านเดียวท่ามกลางเศรษฐกิจที่กำลังตื่นตัวอีกต่อไป

ทว่า "ชนชั้นกลาง" กลุ่มสังคมซึ่งเก็บซ่อนความต้องการและความทัดเทียมในการดำรงชีวิตนั้นมาถึงจุดอิ่มตัว และระเบิดความคิดอันแสดงถึงหลักการและกติกาที่ตนอยากให้เป็นออกมา

เขาต้องการรู้นโยบาย สถิติ การตัดสินใจที่มีเหตุผล โปร่งใสที่จะทำนายได้ว่า พรุ่งนี้ ปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่การตัดสินใจของคนไม่กี่คนที่พลิกไปพลิกมา

อิสระและเสรีภาพคือสิ่งที่เขาต้องการภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่จะให้โอกาส "ชนชั้นกลาง" ทำมาหาเลี้ยงชีพสร้างเนื้อสร้างตัวและยกระดับฐานะ อันเป็นการเคลื่อนตัวของสังคมที่กระจายไปทั่วโลก คนเหล่านี้กระหายข้อมูลข่าวสารรอบด้านเพื่อใช้วิจารณญาณและตัดสินใจเองว่าอะไรจริงหรือไม่จริง

ดังนั้น เมื่อรัฐบาลใช้รูปแบบภายใต้ความคิดที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จึงถูก "ชนชั้นกลาง" ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ข่าวทีวีและวิทยุเลยกลายเป็นข่าวที่เชื่อไม่ได้ ทั้งที่ช่วง 4-5 ปีก่อนหน้านี้ ทีวีเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมาก…!

ความเชื่อถือต่อข่าวทีวีจึงสูญมลายไปในพริบตาประดุจว่าทีวีไม่ได้พัฒนาตัวเองในด้านเนื้อหา แต่ยังบิดเบือนข่าว ขณะที่หนังสือพิมพ์กลับเป็นสื่อที่มีเครดิตดีกว่า..?!?

ทีวีมีพื้นฐานการพัฒนาในรูปของความบันเทิงเป็นหลัก..!

ไทยเริ่มมีทีวีครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2497 เนื่องจาก จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปเห็นในสหรัฐอเมริกาจึงอยากให้ไทยมีบ้าง ลงทุนประมาณ 20 ล้านบาทถ่ายทอดการรำที่โรงแรมรอยัลริมคลองหลอดกรุงเทพฯ โดยบริษัทฟิลิปส์ตอนนั้นทั่วประเทศมีไม่ถึง 200 เครื่อง ดูกันเองในหมู่ข้าราชการยังไม่มีโฆษณาเพราะยังไม่เข้าใจระบบ อีกราว 5 ปีต่อมาจึงเริ่มพัฒนาในรูปของธุรกิจ งบโฆษณาในปีแรกมีมูลค่าเพียง 100 ล้านบาทซึ่งถือว่าน้อยมาก ขณะที่ปัจจุบันประมาณการว่างบโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น

"ทีวีเป็นสื่อที่เข้าถึงคนมากที่สุด มีพื้นฐานให้ความบันเทิง เป็นความสนุกสนานที่มีการปรับตัวตลอดเวลา มีเสน่ห์และหลากหลายกว่าสื่อชนิดอื่นขณะที่วิทยุไม่ค่อยปรับตัวด้านเนื้อหาหรือถ้ามีก็น้อยมาก" บุญรักษ์ ชี้ความต่างของพัฒนาการทีวีและวิทยุ

ทีวีจะเสนอข้อมูลในรูปขิงการเฉลี่ย ๆ กันเพื่อให้ทุกคนดูและฟังรู้เรื่อง ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการพื้นฐานที่ดูเพื่อฆ่าเวลา ข่าวทีวีเปรียบเทียบแล้วก็ไม่ต่างจากข่าวพาดหัวของหนังสือพิมพ์ จะไม่ลึกซึ้งดูเร็วฉาบฉวย

ด้วยลักษณะของสื่อทีวีอย่างนี้ เป็นความสอดคล้องกับสภาพสังคมโดยทั่วไปซึ่งไม่ว่าจะมีการศึกษาหรือไม่ แต่จะชอบดูและฟังมากกว่าอ่านรายการทีวีส่วนใหญ่จึงเป็นรายการบันเทิงถึง 80-90% โดยเพิ่งจะมาดูเพื่อเอาข่าวสารเมื่อ 5-6 ปีนี่เองตามสภาพของสังคมโลกที่ปัญหาเศรษฐกิจรุกคืบเข้ามาเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก ต่างกับยุคหลายสิบปีก่อนที่เรื่องการเมืองจะนำหน้าเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความมั่นคงแห่งชาติ

ถ้าพูดถึงกลุ่มที่มีความรู้ทางการเมืองที่เรียกว่า POLITICAL PUBLIC นั้นมีน้อยแต่ไหนแต่ไร คนกลุ่มนี้จะอ่านหนังสือมากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดูทีวีน้อยหรือไม่ดูทีวี เพียงแต่ให้ความสำคัญกับสื่อที่เขียนมากกว่า ส่วนทีวีจะดึงคนที่สนใจเรื่องของความบันเทิงไป" สื่อหนังสือจะดึงคนที่เป็นปัญญาชน เป็นนักคิดเข้าไป ขณะที่โดยทั่วไปแล้วหนังสือพิมพ์จะเป็นสื่อทางความคิดได้มากกว่า" บุญรักษ์กล่าว

แนวโน้มคนจะสนใจการเมืองมากขึ้นตามระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้างขึ้นและมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับการเมืองอย่างเป็นลูกโซ่ภายใต้โลกของข่าวสาร

ผู้คนสนใจข่าวทีวีมากขึ้นในยุคที่ สมเกียรติ เข้ามาบุกเบิกวงการข่าวทีวีเมื่อ 5 ปีก่อนโดยอิงข่าวต่างประเทศ เสนอข่าวด้วยรูปแบบใหม่เป็นหลักจากที่เคยใช้สไตล์คำสั่งหรืออ่านประกาศที่เรียกว่า TOPDOWN แม้จะเป็นข่าวธรรมดา ก็มีลักษณะเป็นกันเองมากขึ้นทำให้ข่าวทีวีปรับตัวกันอย่างคึกคัก

จะเห็นว่า ก่อนถึงวันพฤษภามหาวิปโยค รายการข่าวได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นโดยตลอด รายการข่าวได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นโดยตลอด จากการสุ่มตัวอย่างในเขตกรุงเทพฯ ของบริษัทที่ปรึกษา ซี. เอส. เอ็น. แอนด์แอสโซซิเอท จำกัด พบว่าช่อง 7 ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาเป็นช่อง 3 ตามมาด้วยช่อง 5 และช่อง 9 (โปรดดูตาราง "รายการโทรทัศน์ที่อยู่ในความนิยม")

ขณะที่รายการวิทยุที่ฮิตที่สุดคือ จส. 100 วิทยุจราจรตั้งแต่เริ่มต้น มีสัดส่วน 33.30% (โปรดดูตาราง "รายการวิทยุที่อยู่ในความนิยม")

เมื่อ "ชนชั้นกลาง" กระหายข้อมูล แต่กลับถูกปิดกั้นข่าวทางทีวี จึงทำให้คนเหล่านี้ต้องหาทางช่วยและเคลียร์ข้อมูลด้วยตนเอง

นั่นก็คือ ออกไปหาข่าวจากแหล่งชุมนุมด้วยตนเอง นอกเหนือจากความต้องการแสดงพลังประชาธิปไตยเมื่อไปเจอของจริง ก็ทำให้ยิ่งชัดเจนว่าข่าวทีวีที่แพร่ออกมาในระยะนั้นล้วนแต่ถูกบิดเบือนจากเหตุการณ์ที่เป็นอยู่จริงทั้งสิ้น ขณะที่หนังสือพิมพ์อยู่ในฐานะที่จะแสดงจุดยืนและเสนอข้อมูลได้อย่างตรงไปตรงมามากกว่า

พอทีวีกลายเป็นสื่อที่ไม่อาจเชื่อถือได้ในกลุ่มคนที่มากขึ้น ทางออกก็คือหันไปอ่านหนังสือพิมพ์ เพราะเชื่อถือว่าข่าวสมบูรณ์กว่า ดังที่ บุญรักษ์ ย้ำว่า "ตลาดปัจจุบันไม่ใช่ตลาดโง่ เขาจะตัดสินใจของเขาเอง อ่านหนังสือพิมพ์แล้วไม่ใช่ว่าเขาจะเชื่อทันที แต่เขาจะอ่านเอาข้อมูล รวมถึงจากแหล่งอื่น ๆ ให้ได้รอบด้าน ละเอียดแล้วคิดเองและคอยดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ไม่ได้หมายความว่าจะไปครอบงำเขาได้"

ถ้าดูจากการสุ่มตัวอย่างของสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 ยิ่งจะบ่งชัดว่าหลุ่มชั้นกลางหรือกระฎุมพีใหม่ที่เข้าร่วมถึงครึ่งหนึ่งของผู้ชุมนุมทั้งหมดนั้นส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 25-40 ปี จบปริญญาตรีเป็นหลักจะมีสัดส่วนที่อ่านหนังสือพิมพ์มากที่สุด

จะเห็นว่าเพศชายจะอ่านหนังสือพิมพ์สูงถึง 46.6% ดูข่าวทีวี 25.1% ในเพศหญิงก็เช่นกันจะอ่านหนังสือพิมพ์ 15.9% ดูข่าวทีวี 9.4% กลุ่มอายุระหว่าง 20-39 ปี อ่านหนังสือพิมพ์ในสัดส่วนที่มากกว่าการดูข่าวทีวีประมาณครึ่งหนึ่ง

ถ้าดูจากการศึกษา คนจบปริญญาตรีจะอ่านหนังสือพิมพ์มากกว่าดูข่าวทีวีเกือบ 50% และในกลุ่มที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีจะอ่านในสัดส่วน 10.2% แต่ดูข่าวทีวีเพียง 4.2%

กลุ่มที่มีรายได้ตั้งแต่ 5,000-19,999 ต่อเดือนหรือแม้กระทั่งเงินเดือนขนาด 50,000 บาทล้วนแต่อ่านหนังสือพิมพ์มากกว่าดูข่าวทีวีกว่าครึ่ง และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะทำงานบริษัทเอกชนถึง 30% (โปรดดูตาราง "การรับข่าวสารในช่วงเวลาปกติของผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำแนกตามชนิดของสื่อและข้อมูลพื้นฐาน") ส่วนวิทยุจะฟังกันน้อยมากสูงสุดเพียง 1.4% เท่านั้น

กลุ่มชนชั้นกลางเหล่านี้ยังสนใจข่าวธุรกิจ-การเมืองมากกว่าข่าวประเภทอื่น (โปรดดูตาราง "ประเภทของหนังสือพิมพ์ที่ผู้ร่วมเหตุการณ์สนใจ")

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังเปรียบเทียบตัวเลขที่ดูข่าวทีวีช่วงก่อนการชุมนุมและขณะสถานการณ์กำลังวิกฤติก่อนการนองเลือดว่า ได้ลดจาก 34.5% เหลือ 8% ส่วนตัวเลขคนอ่านหนังสือพิมพ์จาก 62.5% ได้เพิ่มขึ้นเป็น 81.6% ส่วนวิทยุลดจาก 2.2% เหลือ 1.5%

ถ้าคิดเป็นตัวเลขความเชื่อถือต่อข่าวทีวีแล้วมีเพียง 16.4% เทียบค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4 ขณะที่มีการให้เครดิตหนังสือพิมพ์ 58.5% ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.43 จากคะแนนเต็ม 3

รูปลักษณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อสถานะ เฉพาะอย่างยิ่งคือช่อง 5 และช่อง 7 (สัมปทานจากช่อง 5) อย่างสาหัสฉกรรจ์

นี่ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการทำลายเครดิตของทีวีเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเนื่องไปถึงโฆษณาอันเป็นช่องทางหารายได้ที่สำคัญของทีวีไปด้วย

ดังที่ สมเกียรติ ยอมรับว่า "ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการถอนโฆษณาหรือโฆษณาที่ลดลงไปโดยเฉพาะในรายการข่าว ด้วยเหตุผล 3 อย่างคือ ผลกระทบจากเหตุการณ์การเมืองทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน จึงชะลอโฆษณาไว้ก่อน และใกล้ฤดูฝน โฆษณาจะน้อยกว่าปกติอยู่แล้ว รวมไปถึง..การแอนตี้รายการข่าวช่อง 5.."

"การแอนตี้ข่าวช่อง 5 โดยงดโฆษณามีจริงที่เคยขายได้ในช่วง 8 นาทีตอนนี้ลดลงเหลือประมาณ 4 นาทีเท่านั้น" สมเกียรติชี้ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

ยังไม่รวมถึงความรู้สึกต่อธุรกิจอื่นของกลุ่มทหารดังที่มีข่าวว่า นักธุรกิจและแพทย์กลุ่มหนึ่งได้เสนอให้ธนาคารไทยพาณิชย์เลิกสนับสนุนรายการ "โลกสลับสี" ในช่อง 5 มิฉะนั้นแล้วจะถอนเงินไปฝากแบงก์อื่นหรือบางกลุ่มถึงขนาดกล่าวว่า พยายามจะไม่ซื้อสินค้าที่โฆษณาทางช่อง 5

แม้แต่คนอ่านข่าวชื่อดังอย่าง จักรพันธุ์ ยมจินดา ช่อง 7 ก็ถูกประชาชนต่อต้าน ถูกโทรศัพท์ขู่เอาของขว้างปาบ้าน หลังจากที่อ่านแถลงการณ์ห้ามออกไปชุมนุมฉบับแรก ความชื่นชมของคนดูข่าวต่อ จักรพันธุ์ ก็ลดฮวบไปทันที เพราะท่าทีลีลาการอ่านที่ดุจดังคำสั่งคณะปฏิวัติทำให้คนดูอดคิดกันไม่ได้ว่า เขาเป็นกลุ่มอิงอำนาจทหาร ทั้งที่เขาเป็นลูกจ้างของสถานีที่จะต้องทำตามคำสั่ง และอึดอัดใจจนต้องประกาศลาออกแล้วเลิกอาชีพนี้ไปเลย

ไม่รวมถึงบรรดานักดูข่าวทีวี ต่างก็ต้องปกปิดแหล่งที่ตนสังกัด ไม่อย่างนั้นก็จะโดนปฏิกิริยาต่อต้าน เพราะประชาชนมองว่าออกข่าวด้านเดียว เป็นเครื่องมือของรัฐบาลและทหารยุคพลเอกสุจินดา ท่ามกลางความไม่เข้าใจว่าทีมข่าวเหล่านี้ต่างก็ตกอยู่ในกรอบจำกัด

ทีท่าต่อต้านของคนดู ว่าไปแล้วก็คือการประท้วงข่าวทีวีนั่นเอง…!

การที่เครดิตของทีวีสิ้นสลายไปอย่างนี้ เป็นเพราะระบบและวิธีคิดของกลุ่มอำนาจทางการเมือง-ทหารของ รสช. ที่คุ้นเคยกับกระบอกปืนอย่างไม่เคยแปรเปลี่ยนเฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นซ้ำซาก คงเนื่องเพราะไม่ได้ศึกษาและสรุปบทเรียนจากอดีตเลยแม้แต่น้อย

ทีวี-วิทยุที่เคยเป็นเครื่องมือของรัฐ หรือของรัฐบาลตามที่กลุ่มอำนาจมักจะเข้าใจและใช้กันเพื่อตอบสนองเจตนารมณ์และผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มตนจึงยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงด้านเนื้อหามากนัก เพราะโครงสร้างอำนาจใหญ่ฝังรากลึกอยู่ แม้ว่าจะมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและพูดกันว่าพยายามจะมีนโยบายเปิดเสรีทีวีก็ตาม

ทีวีจึงยงคงตกอยู่ในแดนสนธยา ทั้งที่รัฐบาลไม่เคยมีกฎระเบียบห้ามตั้งสถานีใหม่ จะมีก็เพียงแต่ข้อตกลงในหลักการกว้าง ๆ ว่าข่าวที่แพร่ออกไปจะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติไม่ขัดต่อประเพณี ศีลธรรมอันดี เป็นต้น

ทำไมคนทำข่าวทีวีจึงไม่อาจทะลวงฝ่ากำแพงปิดกั้นเสรีภาพไปได้ทั้งที่นักข่าวทีวีอาชีพก็คงไม่ต่างจากหนังสือพิมพ์ ที่อยากทำงานให้สมเกียรติและสมบูรณ์แต่ก็ทำไม่ได้ แม้ว่าตามปกติแล้วจะไม่มีการสั่งห้ามเป็นทางการหรือประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม…?

พลเอกสุจินดา เองก็ตอกย้ำหลายครั้งว่า "ผมไม่เคยสั่งห้าม (ออกข่าวการชุมนุมต่อต้าน) และอยากให้ออกข่าวทุกด้านด้วยซ้ำไป แต่ไม่รู้ทำไมจึงไม่เสนอกัน"

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า มีกระบวนการอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในการกำหนดนโยบายอย่างไม่เป็นทางการ ตามพลังของอำนาจมืดที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง

จะเห็นว่าช่อง 3 และช่อง 7 ซึ่งดำเนินการโดยเอกชนนั้น เป็นที่คาดหวังของคนดูว่าน่าจะเสนอข่าวได้ฉับไว รอบด้าน และลุ่มลึกกว่าช่องอื่น แต่บางครั้งกลับเป็นว่าช่อง 9 กล้าเสนอข่าวในบางประเด็นมากกว่าด้วยซ้ำไป ทั้งที่ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการและคุมนโยบาย

ที่จริง ทุกช่องเป็นของรัฐทั้งหมดเพียงแต่ต่างกันในรูปแบบการบริหารเท่านั้น…!

ช่อง 3 บริษัท บางกอกเอนเตอร์เทนเม้นต์ได้รับสัมปทานจากช่อง 9 โดยต้องจ่ายค่าสัมปทานเกือบ 2,000 ล้านบาทใน 10 ปี นอกจากการให้ผลประโยชน์เฉลี่ยปีละ 20 ล้านบาท

เป็นเพราะช่อง 3 ได้สัมปทานสัญญามา ทำให้ต้องเกรงใจผู้ใหญ่เพราะเกรงจะไม่ได้ต่อสัญญา จึงไม่เสี่ยงในเรื่องข่าว ถ้าสนองรัฐบาลได้จะสนองหมด ข่าวของช่อง 3 เลยไม่เป็นธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องจะเป็นจะตายเพราะข่าว ขอให้มีหนังมีละครดี ๆ เป็นใช้ได้ "ช่อง 3 น่าสงสารที่สุด เขาไม่ค่อยกล้าหาเรื่องทั้งที่อยากทำ (ข่าว)" สมเกียรติ กล่าว

ช่อง 5 กองทัพบกเป็นเจ้าของแล้วให้เอกชนซื้อเวลา โดยรัฐบาลเป็นคนบริหารเวลา จะมีรายได้จากค่าโฆษณาและค่าเช่าเวลา เช่น ข่าวช่วง 19.30-20.00 น. ให้กับอีเอ็มนิวส์ในเครือบริษัท แปซิฟิค อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น โดยช่อง 5 จะได้ผลตอบแทนประมาณ 150 ล้านบาทใน 3 ปี

การทำงานจะเป็นระบบสายบังคับบัญชาแบบทหาร ต้องเดาใจเจ้านายในระดับต่าง ๆ โดยไม่ต้องมีคำสั่ง จะถูกปิดกั้นสูง ฉะนั้นทำอะไรก็ต้องขอให้ปลอดภัยไว้ก่อน

ช่อง 7 จะรับสัมปทานจากช่อง 5 และใช้ระบบดาวเทียม ทำให้ครอบคลุมเครือข่ายกว้างได้ทั่วประเทศ คนรับข่าวเยอะ มีอิทธิพลต่อประชาชน ด้านโฆษณาก็แคร์ รัฐบาลเลยดูแลมากหน่อย แต่ก็เป็นช่องที่มีไหวพริบที่จะพลิกแพลงตัวเองได้คล่องตัว ไม่มีการห้ามฝ่ายข่าวเหมือนช่องอื่น "เพียงแต่ชาติเชื้อ กรรณสูต ผู้อำนวยการอาจจะคอยกระตุกให้เพลา ๆ บ้างเท่านั้น" ผู้จัดเจนด้านข่าวทีวีกล่าว ส่วนช่อง 11 เป็นของกรมประชาสัมพันธ์

ด้วยความที่ช่อง 3 และช่อง 7 บริหารในรูปของเอกชนกลับกลายเป็นข้อจำกัดในการเสนอข่าว จะยึดหลักว่าจะทำข่าวเรื่องอะไรก็ควรจะเป็นข่าวที่ทำให้บริษัทผู้รับสัมปทานปลอดภัยไว้ก่อน เพราะถ้าเกิดความขัดแย้งกับทางราชการส่วนใดขึ้นอาจจะกระทบต่อผลประโยชน์ทางธุรกิจได้ง่าย

ถ้าช่อง 5 และช่อง 9 เกิดเสนอข่าวที่ไม่ถูกใจผู้บริหารระดับใดขึ้นมา ผู้อำนวยการสถานีหรือบรรณาธิการข่าวจะเป็นคนรับผิดชอบ อย่างมากก็โดนย้ายเพียงคนเดียว ไม่เหมือนกับช่อง 3 และช่อง 7 หากโดนกรณีเดียวกันจะกระทบความอยู่รอดของทีมงานทั้งหมด

แต่ช่อง 9 จะอยู่ในฐานะที่สบายกว่าช่องอื่นเพราะคนดูแลเป็นพลเรือนคือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะกลัวก็แค่โทรศัพท์ ถ้าทำไม่ถูก จะมีโทรศัพท์มาโวย แต่ถ้าเผลอก็ทำได้อีก

การกล่าวอ้างของ พลเอกสุจินดา ข้างต้นจึงไม่เกินเลยความจริงที่พยายามแสดงให้เห็นดุจว่าเป็นคนเปิดกว้างต่อการรับฟัง แต่เป็นที่รู้กันว่า "วันที่ 7 พฤษภาคมนายทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่ได้ออกคำสั่งห้ามเสนอข่าวฝ่ายชุมนุมคัดค้านคนกลางเป็นนายก" แหล่งข่าวจากวงการทีสีเปิดเผยถึงสาเหตุที่ไม่อาจเสนอข่าว 2 ด้านได้ เลยยิ่งทำให้ภาพพลเอกสุจินดากลายเป็นคนปัดความรับผิดชอบอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่บางคนสะท้อนว่า "อะไร ๆ ก็ไม่รู้ไม่เห็น แล้วจะเป็นนายกฯ ได้ยังไง"

อย่างไรก็ตาม การออกคำสั่งห้ามด้วยลายลักษณ์อักษร ปกติไม่บ่อยนัก…!

แต่ความสำคัญไม่ใช่อยู่ที่ว่าสั่งด้วยตัวหนังสือหรือวาจา เพราะแก่นแท้ของการห้ามก็คืออำนาจมืดซ่อนแฝงอยู่ภายใต้โครงสร้างการบริหารแบบเก่า ไม่ว่าจะยุคของรัฐบาลมหารหรือยุคนายกฯ ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งพร่ำบอกกันเสมอว่าให้เสรีภาพเต็มที่ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงคำที่ปั้นแต่งขึ้นมาให้ดูสวยหรูเท่านั้น

แหล่งข่าวที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการข่าวทีวีรายหนึ่งเปรียบเทียบ "ยุคที่ว่าประชาธิปไตยเบ่งบานหลัง 14 ตุลา 16 ข่าวซีเรียสก็ออกไม่ได้ หรือยุคนายกฯ ชาติชายก็ยังมีคนใกล้ชิดสั่งให้ทำข่าวตามความต้องการ บางเรื่องในยุค รสช. ยังเสรีกว่าด้วยซ้ำ จะเห็นว่ายังมีรายการ "มองต่างมุม" โดยมีอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย

พูดได้ว่าเป็นเพราะนายกฯ อานันท์เป็นคนเปิดกว้างและอยู่ในฐานะที่มีบารมีในตัวเองสูงพอและมีลูกล่อลูกชนกับคณะ รสช. ทำให้รักษาความเป็นตัวของตัวเองได้ จะเห็นว่าทีวีจะมีเสรีหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของรัฐบาลว่าจะใจกว้างหรือแคบมากน้อยแค่ไหน

ดังที่ คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เวลาเกิดปัญหาคนที่จะโดนเล่นงาน คือบรรณาธิการข่าว ต่อมาก็เป็นผู้อำนวยการสถานี แต่ถ้ารัฐมนตรีมีนโยบายตรงนี้เปิดกว้างก็จะทำให้เสนอข่าวได้ 2 ทาง คือข่าวฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน หรือจากข้างล่างไปสู่ข้างบน และจากบนลงล่าง ไม่ได้หมายถึงทั้งทางทีวีและวิทยุ ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าผู้ใหญ่จะกล้าแอ่นอกเข้ามารับแค่ไหน

บังเอิญว่าพลเอกสุจินดาไม่เพียงแต่ไม่ได้ก้าวนำหน้าประชาชน หรือก้าวตามพลังขับเคลื่อนใหม่ ๆ แต่กลับย่ำอยู่กับที่ เพราะเชื่อมั่นตนเองเกินไปและคงคิดเลยเถิดไปว่าถ้าตนไม่ขึ้นเป็นนายกฯ แล้วบ้านเมืองอาจจะมีอันเป็นไปกระมัง จากระบบคิดที่เชื่อในทฤษฎีเก่า ๆ อย่างเหนียวแน่นว่า ตนชำนาญยุทธวิธีและมั่นใจในเกมรุกดีพอ แต่เกมรบในสงครามของทหารกับเกมพลังประชาชนในยุคนี้ ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง

เกมรุกโดยระดมใช้สื่อครั้งนี้ กลับเป็นความพ่ายแพ้อย่างหมดรูป…!

รัฐบาลสุจินดา และคณะคงมองไม่ออกว่าการโฆษณาชวนเชื่อทางทีวีและวิทยุนั้นไม่อาจสกัดกั้นความกระหายใคร่รู้ของ "ชนชั้นกลาง" ได้ เมื่อพึ่งสื่อเหล่านี้ไม่ได้ ก็มีหนังสือพิมพ์แม้จะเชื่อไม่ได้ 100% ทุกฉบับก็ตาม ยิ่งกว่านั้น ก็ยังมีโทรศัพท์มือถือ แพคลิงค์ โฟนลิงค์ แฟกซ์ วิทยุติดตัว หรือเคเบิ้ลทีวี ซึ่งล้วนแล้วเป็นเครื่องมือสื่อข้อเท็จจริงถึงกันและกันอย่างรวดเร็วทั้งในและต่างประเทศ ไม่รวมถึงยุทธการปากต่อปากที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้

ดูเหมือนว่า ยิ่งคนดูรู้ว่ารัฐบาลจลใจออกข่าวบิดเบือน ข่าวลือที่มาจากฐานข้อมูลจริงยิ่งแพร่สะพัดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เพราะความกริ่งกลัวที่ตกผลึกอยู่ในใจของรัฐบาล เขาจึงหวั่นไหวต่อเสรีภาพของทีวีและวิทยุ เพราะวิตกว่าตนจะมีคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่อดีต

น่าสังเกตว่ามีกฎหมายควบคุมสื่อมวลชนหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ. การพิมพ์ พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นปีแรก ๆ หลังจากที่เกิดปฏิวัติในปี 2475 พอมีการปฏิวัติในปี 2498 รัฐบาลก็เริ่มออก พ.ร.บ. วิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2498 และปรับปรุงใหม่อีกครั้งในปี 2502 ซึ่งมีการปฏิวัติอีก อันสะท้อนถึงความกลัวของรัฐบาลต่อสื่อวิทยุในยุคกองทัพเป็นผู้นำ

พอปี 2519 เมื่อพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ปฏิรูป ก็ออกประกาศคำสั่งคณะปฏิรูป ฉบับที่ 15 (ปร. 15) ระบุห้ามวิทยุออกข่าวยุยงปลุกปั่น หรือกระทบความมั่นคงของชาติหรือสนับสนุนระบบคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งออก ปร. 17 เพื่อใช้ควบคุมทีวีในลักษณะเดียวกับ ปร. 15

แสดงว่า รัฐบาลเริ่มหวาดหวั่นต่อสื่อทีวีซึ่งแพร่หลายออกไป หลังจากที่ถ่ายทอดเป็นทางการครั้งแรกในปี 2498 ทางสถานีช่อง 4 บางขุนพรหม จึงต้องเข้มงวดมากขึ้น เพื่อกันปัญญาชนออกไประดับหนึ่ง

แท้จริง การหวั่นต่อเสรีภาพทีวี-วิทยุน่ากลัวและอันตรายมากกว่า เนื่องจากยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งปิดกั้นก็ยิ่งอยากรู้ สุดท้ายก็จบลงด้วยความรู้สึกไม่เชื่อถือทีวี-วิทยุอีกต่อไป และเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบบการสื่อสาร เพราะ 2 สื่อนี้เป็นช่องทางเดียวของรัฐ เมื่อคนไม่เชื่อถือแล้ว รัฐบาลก็จะไม่มีเครื่องมือแพร่ข่าวสารหรือถ่ายโอนนโยบายไปสู่ประชาชน และจะจนมุมตัวเอง

ดังที่คุณหญิงสุพัตราให้ความเห็นว่า "รัฐบาลใช้ทีวีเป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อ โดยอ้างว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ ทั้งที่ประชาสัมพันธ์หมายถึงทำให้คนเกิดความเข้าใจแบะวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ตอนนี้คนเกิดอาการไม่อยากดูทีวี ซึ่งส่งผลให้หูตาแคบลงด้วย และไม่ใช่ทุกคนที่อ่านหนังสือได้" ตรงนี้จะเป็นผลเสียของทั้งประเทศในการรับรู้ข่าวสาร

อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิดข่าวลือ มีอาการระแวงต่อความไม่จริงใจของรัฐบาล อันนำไปสู่ความแตกแยกยากที่จะรู้รักสามัคคี จะทำให้การพัฒนาของ "ชนชั้นกลาง" ตีบตันในที่สุดก็ร่วมกันรังสรรค์ประเทศไม่ได้

แล้วเสียงเรียกร้องเสรีในการรับข่าวสารจากทีวี-วิทยุก็ประดังขึ้นทั่วทุกสารทิศโดยมิได้นัดหมาย เพื่อปรับทีวีวิทยุให้เป็นสื่อที่ทรงประสิทธิภาพอย่างถูกต้องตามบทบาทที่แท้จรองของมัน เพราะมิฉะนั้นแล้วทีวี-วิทยุก็จะกลายเป็นเครื่องสี่เหลี่ยมที่ไร้ความหมาย

เชื่อกันว่าเหตุการณ์พฤษภาทมิฬจะเป็นตัวแปรของการปรับเปลี่ยนรายการข่าวทีวี-วิทยุ หลังจากที่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ภายใต้การควบคุมอำนาจระบบปิดทีวี-วิทยุไม่อาจใช้เป็นเครื่องมือในการป้อนข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนได้อย่างเที่ยงธรรม รอบด้านอันเป็นกลไกสำคัญยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจในระบบเปิดของประเทศ ซึ่งมี "ชนชั้นกลาง" เป็นพลังขับเคลื่อนหลักอีกต่อไป

หลายคนพยายามเสนอให้เปิดสถานทีวีช่องใหม่ เพื่อให้เอกชนดำเนินการในรูปของธุรกิจเต็มตัว โดยเฉพาะคลื่นที่เป็นคลื่น UHF ซึ่งมีความแรงกว่าคลื่น VHF คลื่นเก่าที่ทีวีใช้กันอยู่ในขณะนี้ แต่จะกระจายคลื่นออกไปได้เป็นพื้นที่ ๆ และจะต้องสร้างเครือข่ายขยายออกสู่ภูมิภาคต่าง ๆ อีกทอดหนึ่ง

โดยเฉพาะขณะนี้มีแรงกดดันอย่างมากในการหนุนเปิดทีวีช่องใหม่ ซึ่งเป็นไปตามวัฒนธรรมของคนที่ไม่ค่อยได้ทำอะไรตามหลักการหรือวางแผนล่วงหน้า แต่จะทำทุกอย่างเพราะมีแรงกด หรือพลังการเมืองและฐานการเงินที่เข้มแข็งพอ

เช่นเดียวกับความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้นายกฯ มาจาก ส.ส. ให้ประธาน ส.ส. เป็นประธานรัฐสภา เริ่มลงมือเป็นเรื่องเป็นราวหลังจากที่เกิดวันพฤษภาทมิฬ โดยที่ 5 พรรคร่วมรัฐบาลพลิกคำพูดยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 25 พฤษภาคมศกนี้ และรอเข้าวาระที่ 3 ในวันที่ 10 มิถุนายนปีเดียวกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามเบี่ยงเบนเตะถ่วงให้ล่าช้า โดยบอกว่าจะต้องตั้งกรรมการศึกษาอีกหลายขั้นตอนซึ่งเชื่อกันว่า หากไม่มีการหลั่งเลือดและพลีชีพของประชาชนจำนวนมาก อีกนานเท่านานก็ยังคงแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้

ไม่เช่นนั้น ก็แยกช่อง 3 และช่อง 7 ออกมาให้เอกชนเป็นเจ้าของในเชิงธุรกิจเต็มรูปแบบ ซึ่งจะต้องจ่ายเงินคืนให้กับรัฐเท่าไหร่ก็ว่ากันไป เพื่อให้ทีวีมีทั้งที่เป็นส่วนของรัฐและเอกชน สร้างกลไกในการแข่งขันซึ่งกันและกัน

อีกวิธีหนึ่ง ก็คือ แปรรูปให้เอกชนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และให้รัฐบาลหรือต้นสังกัดเดิมถือหุ้นส่วนน้อย

ทั้งนี้ ในแต่ละวิธี ควรจะกระจายผู้ถือหุ้นให้หลากหลาย และมีวิธีป้องกันการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของรายใดรายหนึ่ง จึงควรเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และผลักดันให้เป็นบริษัทมหาชน

ที่จริง ทีวีจะมีเสรีภาพในการเสนอข่าวมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่ที่ว่าผู้บริหารจะมีระบบคิดและโลกทัศน์ที่กว้างไกลแค่ไหน หากเป็นความคิดคับแคบในระบบปิด คงยากที่จะให้ทีวีมีเสรีภาพในการเสนอข่าว แม้ว่าเอกชนจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็ตาม

อย่างไรก็ดี การที่ให้เอกชนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เชื่อว่าจะสอดคล้องกับหลักการของตลาดเสรีที่ว่า จะหนุนเนื่องให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นก็คือถ้าเป็นบริษัทมหาชน อย่างน้อยพลังประชาชนจะเป็นส่วนสำคัญในการเรียกร้องและกดดันให้เสนอสินค้าหรือข่าวสารที่ตลาดต้องการได้มากขึ้น

ขณะเดียวกัน มีการเคลื่อนไหวออก พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการขึ้นมาก เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยในการรับรู้ข่าวสารของราชการ อันเป็นกลไกสำคัญที่ประชาชนจะได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการบริหารงานของรัฐ ทั้งยังตรวจสอบการใช้อำนาจของราชการที่จะให้คุณให้โทษชุมชนหรือปัจเจกชน

พร้อมทั้งกำหนดกฎเกณฑ์คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในความดูแลของราชการ อีกทั้งกำหนดให้ราชการต้องมีหน้าที่ในการจัดทำเปิดเผยข้อมูลข่าวงสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน

โดยจะกำหนดลำดับชั้นของข้อมูลที่เป็นความลับดังนี้คือ

ลับที่สุดให้เก็บเป็นความลับได้ไม่เกิน 25 ปี

ลับมาก ไม่เกิน 20 ปี

ลับ ไม่เกิน 5 ปี

ปกปิด ไม่เกิน 1 ปี

ส่วนการกำหนดประเภทของข้อมูลนั้น ให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเป็นผู้กำหนดตามคำเสนอแนะของกองจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ซึ่งจะทำให้ต้องจัดวางระบบข้อมูลให้เป็นแนวเดียวเพื่อสะดวกในการเรียกใช้

พ.ร.บ. ฉบับนี้ สมัยนายกฯ อานันท์ ได้เห็นชอบแล้ว และส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นเพื่อแก้ไขให้สมบูรณ์ก่อนที่จะเสนอเข้า ครม. แต่หมดวาระยุคอานันท์ไปก่อน จึงต้องเตรียมเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่

กฎหมายนี้จะเป็นการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากราชการ และฝ่ายราชการจะต้องจัดวางโครงสร้างระบบสารนิเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน และค้นคว้าไปใช้ในการตัดสินใจของงานแต่ละเรื่องได้อย่างสัมฤทธิผล

สาระของ พ.ร.บ. นี้ แม้ว่าจะเป็นคนละส่วนกับการเปิดเสรีทีวี-วิทยุ แต่ก็เป็นการสนับสนุนสิทธิของการรับรู้ข้อมูลของประชาชน ซึ่งน่าจะช่วยส่งเสริมให้มีการเปิดเสรีทีวี-วิทยุได้เร็วขึ้น

เพราะการเปิดเสรีในการรับรู้ข่าวสารได้รอบด้านถูกต้อง เที่ยงธรรมจะเป็นกลไกสำคัญยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจในระบบเปิดอย่างทุนนิยม และเป็นหน้าที่ของรัฐด้วยเช่นกันว่าจะต้องร่วมผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นจริง และปรับทิศทางการใช้สื่อทีวี-วิทยุใหม่เพื่อป้อนสาระประโยชน์แก่ประชาชนมากยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวางฐานระบอบประชาธิปไตย ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ การปูพื้นจริยธรรม หรือการรณรงค์แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่สั่งสมอยู่มากมาย แทนที่จะมุ่งแต่โฆษณาชวนเชื่อ พยายามให้ประชาชนคล้อยตามการดำรงอยู่ของกลุ่มอำนาจในระบบปิดอันนำมาแต่ความแตกแยก ร้าวฉาน และฉุดรั้งการสร้างบ้านแปลงเมืองไปสู่เป้าหมาย

วันนี้…กาลเวลาได้ผันเปลี่ยนไปสู่สังคมใหม่ที่ต้องการเสรีในการฟัง อ่าน คิด และกระทำเป็นเท่าทวี

เสรีภาพทีวี-วิทยุที่ผวากันมานานหนักหนาว่าจะเป็นอันตราย ก็ต่อกลุ่มผู้มีอำนาจที่คับแคบเท่านั้น ซึ่งถ้าปิดกั้นเสรีแล้ว มหันตภัยที่จะเกิดต่อประเทศจะหนักหนาสาหัสอย่างที่เทียบกันไม่ได้เลย…!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us