Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2535
"การพัฒนาแบบยั่งยืน เรื่องใหญ่ของเอิร์ธ ซัมมิต ที่ริโอ"             
 


   
search resources

U.N. Conference on Environment & Development
Environment




การประชุม "U.N. CONFERENCE ON ENVIRONMENT & DEVELOPMENT" หรือ UNCED ระหว่างตัวแทนจาก 170 ประเทศที่จะมีขึ้นที่ริโอ เดอ จาเนโร ในเดือนมิถุนายนที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการถกเถียงกันอย่างเป็นจริงเป็นจังในประเด็นการพัฒนาแบบยั่งยืนหรือ SUSTAINABLE DEVELOPMENT ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่กินความหมายกว้างขวางกว่าการรักษาทรัพยากรที่มีอยู่แล้วไว้ SUSTAINABLE DEVELOPMENT เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมที่จะต้องร่วมมือกันทั่วโลกระหว่างประเทศอุตสาหกรรมและประเทศที่กำลังพัฒนา จึงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากก่อนเข้าที่ประชุมเนื่องจากขอบเขตของการพัฒนาแบบนี้ล้ำเส้นเข้าไปในเรื่องของผลประโยชน์ทางด้านการค้าด้วย และผลของมันอาจหมายถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมและวิถีชีวิตของคนเลยทีเดียว

ความคิดที่ว่ามนุษย์กำลังทำลายสิ่งแวดล้อมจนกระทั่งธรรมชาติยากที่จะฟื้นตัวขึ้นมาใหม่นั้นเคยเป็นเรื่องขบขันใน 3 ทศวรรษก่อน แต่ถึงวันนี้ประเด็นกลับกลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางเพราะในช่วงเวลาเพียง 20 ปีเท่านั้นประชากรโลกเพิ่มขึ้นถึง 66% เป็น 5,300 ล้านคนแล้ว และผลิตผลทางด้านเศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นอีกเกือบ 2 เท่าตัว พร้อม ๆ กัน นั้นก็คือการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง เช่น ทะเลบอลติกประสบปัญหาน้ำเสียเพราะสิ่งโสโครก, ยุโรปตะวันออกและแถบเม็กซิโกซิตี้อากาศเป็นพิษมาก และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงมากในขณะนี้คือบรรยากาศชั้นโอโซนที่เหลือน้อยลงทุกที ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ

และหากคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น หากปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขจะพบว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อถึงปี 2030 (ตัวเลขของยูเอ็น) และ 84% ของจำนวนนี้จะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งยังต้องขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อขจัดความยากจนและจำกัดการเพิ่มของประชากรอันเป็นปัญหาที่ซ้อนอยู่ในปัญหาอีกทีหนึ่ง เพราะการพัฒนาตัวเองของประเทศเหล่านี้ย่อมหมายถึงการทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย

เริ่มต้นจากความขัดแย้ง

เมื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต้องเดินสวนทางกันจึงต้องมีการหาทางออกที่ประนีประนอมที่สุดซึ่งก็คือ "การพัฒนาแบบยั่งยืน" หรือ "SUSTAINABLE DEVELOPMENT" อันมีหลักการอยู่ว่าอนาคตของสิ่งแวดล้อมขึ้นอยู่กับการรักษาทุนตามธรรมชาติ คืออากาศ, น้ำ และทรัพยากรในระบบนิเวศน์อื่น ๆ ไว้ ซึ่งการที่จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมของมนุษย์ และความสามารถที่จะฟื้นตัวเองของธรรมชาติ การพัฒนาแบบยั่งยืน จึงกลายเป็นประเด็นอันแหลมคมในการปฏิรูปสังคม และเศรษฐกิจเมื่อปีที่ผ่านมา ทั้งภาครัฐบาล, ธุรกิจและนักวิชาการได้เปิดประชุมเรื่องนี้ถึง 80 ครั้ง มีหนังสือที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่า 75 เล่ม และธุรกิจหลายแห่งก็เริ่มคิดว่าตนจะได้รับผลกระทบอันใดบ้าง

และแง่มุมที่แหลมคมนี้เองที่นำไปสู่การประชุม UNCED ที่ริโอ เดอ จาเนโร ในเดือนมิถุนายน ผู้นำจาก 170 ประเทศทั่วโลกจะมารวมกันเพื่อถกเถียงถึงการปกป้องบรรยากาศและสิ่งมีชีวติในโลก, ขจัดความยากจนและสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยลง เรียกได้ว่าเป็นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานก็ได้ เพราะการที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นี้จะต้องมีการทบทวนกฎหมายและนโยบายเศรษฐกิจเสียใหม่ รวมไปถึงการทำสัญญาเพื่อพิทักษ์โลกร่วมกันระหว่างประเทศที่ร่ำรวยและประเทศอื่นที่ยากจนกว่าด้วย

หากจะมองกันให้เป็นรูปธรรมแล้ว ความหมายของการพัฒนาแบบยั่งยืนก็คือประเทศอุตสาหกรรมจะต้องเปลี่ยนตัวเองจากการใช้ระบบการผลิตรวม ทั้งวิถีชีวิตที่เคยใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยมาเป็นระบบที่ใช้ทรัพยากรน้อยลงและไม่ก่อมลพิษด้วย ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนาก็ต้องใช้ระบบเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยลงเช่นกัน แต่จะมีเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติมมากขึ้นเช่น การลดอัตราการเกิด ซึ่งก็จะโยงไปถึงการให้สิทธิสตรีมากขึ้นด้วย และการเดินไปสู่เป้าหมายเหล่านี้ก็ต้องร่วมมือกันทั้งประเทศอุตสาหกรรมและประเทศกำลังพัฒนา เพราะประเทศที่อยู่ในภาวะที่ด้อยกว่ายังต้องอาศัยเงินช่วยเหลือจากประเทศร่ำรวยกว่า และประเทศที่อยู่ในภาวะเหนือกว่าก็ต้องป้อนเทคโนโลยีใหม่ให้กับประเทศที่กำลังพัฒนา จึงคล้ายกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมของทั้งสองฝ่ายทีเดียว

เหรียญย่อมมีสองด้าน

แม้การพัฒนาแบบยั่งยืนจะเป็นข้อตกลงที่เห็นร่วมกันแล้วว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด ก็ยังมีข้อให้ถกเถียงอยู่จนได้จากบุคคลหลาย ๆ ฝ่ายเช่น นักวิทยาศาสตร์บางคนห็เห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้รุนแรงถึงเพียงนั้น เพราะยังเชื่อว่าการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ และความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมของประชากรจะเป็นตัวลดปัญหาได้เอง ขณะที่บางฝ่ายก็เห็นว่าการที่จะรักษาระบบนิเวศน์นั้นมีทางออกอยู่ทางเดียวคือการกระจายความร่ำรวยเสียใหม่ อย่างไรก็ตามความเห็นขัดแย้งที่มากที่สุด เห็นจะเป็นฝ่ายที่เสียผลประโยชน์จากการพัฒนาแบบยั่งยืนนี้ตามมาด้วยการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ไว้

ประโยคเดียวที่ยืนยันความรุนแรงของปัญหาสิ่งแวดล้อมคือความเห็นของ มัวริส สตรอง นักธุรกิจแคนาดาและเลขาธิการทั่วไปของการประชุม UNCED ที่เห็นว่า "โลกกำลังอยู่ในภาวะเป็นตายเท่ากัน" เพราะประชากรของประเทศกำลังพัฒนา 40 ประเทศนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นเร็วมากในทศวรรษ 1980 จนกระทั่งส่งผลถึงรายได้มวลรวมประชาชาติ และเมื่อ 45 ปีที่ผ่านมาก็มีการทำลายพื้นที่โลกไปถึง 11% ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ นานา คิดเป็นเนื้อที่กว้างกว่าอินเดียและจีนรวมกันทีเดียว

หัวใจของการพัฒนาแบบยั่งยืน

หนึ่งในคำตอบที่ดีสำหรับการให้น้ำหนักระหว่างผลประโยชน์และการร่วมมือกันทั่วโลกคือเนื้อความในหนังสือ "OUR COMMON FUTURE" ที่ตีพิมพ์โดย "WORLD COMMISSION ON ENVIRONMANT & DEVELOPMENT" ซึ่งยืนยันว่า กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมนั้นมีผลเพียงเล็กน้อยต่อภาวะเงินเฟ้อ, มีผลพอประมาณทางด้านการค้า, กระตุ้นให้เกิดการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นและที่สำคัญไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของประเทศแต่อย่างใดและบทสรุปที่สำคัญที่สุดก็คือความยากจนนั้นเป็นตัวทำลายพอ ๆ กับอุตสาหกรรมเช่นกัน

นับแต่นั้นมาการประสานช่องว่างระหว่างประเทศที่ร่ำรวยกับประเทศกำลังพัฒนาก็กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาแบบยั่งยืน เพราะความขาดแคลนของประเทศที่ยากจนประกอบกับการบริโภคที่เกินพอดีนั่นเองที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมทุกประเภท ตัวอย่างเช่น ในปี 1989 ประเทศที่กำลังพัฒนาเป็นหนี้อยู่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์และใช้การส่งออกทรัพยากรถึงปีละ 50 พันล้านดอลลาร์เป็นหนทางในการผ่อนหนี้มาตั้งแต่ปี 1983 และสินค้าที่ส่งออกนั้นก็ไม่พ้นจำพวกพืชผล, สัตว์น้ำ, ทรัพยากรจากป่าและเหมืองแร่อันเป็น "ทุนธรรมชาติ" ของประเทศเหล่านี้อยู่แล้ว และหากยังมีเทคโนโลยีการถ่ายเทของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ดีพออย่างเช่นที่อินเดีย, จีน และบราซิลกำลังทำอยู่ก็จะเพิ่มปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตามมาอีก

ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายต้องแก้ปัญหาที่ความยากจน ประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลายก็ต้องมุ่งไปที่การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยลดความเสียหายให้เกิดขึ้นน้อยลง U.S. OFFICIAL OF TECHNOLOGY ASSESSMENT หรือ "OTA" พบว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยสามารถกำจัดขยะที่เป็นพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมในอเมริกาได้ถึง 75% และ U.N. เองก็สำรวจพบว่าประเทศอุตสาหกรรมสามารถหมุนเวียนกระดาษ, กระจก, พลาสติก และโลหะมาใช้ใหม่ได้มากกว่า 50% ที่สำคัญก็คือเทคโนโลยีใหม่เหล่านั้นยังสามารถเพิ่มพลังงานที่ใช้ในโลกขึ้นอีกในปี 2020 ตามความคาดหมายของ WORLDWIDE ENERGY CONFERENCE เพราะผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาใหม่ไม่ว่าจะเป็นแอร์คอนดิชั่น, ตู้เย็น ฯลฯ ล้วนแต่จะใช้พลังงานน้อยลงทั้งนั้นและการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ก็จะลดการใช้พลังงานจากแหล่งอื่นไปได้ถึง 30%

ป่าไม้ แหล่งผลิตอากาศที่ต้องมีการบริหาร

ในส่วนของทรัพยากรที่สำคัญ และรักษาไว้ยากที่สุดอย่างป่าไม้นั้น เป็นความท้าทายมากที่สุด ป่าไม้ในเขตร้อนถูกทำลายลงปีละประมาณ 42.5 ล้านเอเคอร์ จึงเกิดการคาดหมายว่าต่อไปว่าสัตว์ป่าบางชนิดจะต้องสูญพันธุ์ไปกว่า 20% ภายใน 50 ปีต่อจากนี้ไป นักเศรษฐกิจของเวิลด์แบงก์จึงให้ความเห็นว่าประเทศที่กำลังพัฒนาควรจะวางนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศที่ควบคู่ไปกับการรักษาป่าไม้ไว ้ด้วยการอนุรักษ์ป่าไม้ที่น่าชมเชยในกลุ่มประเทศเหล่านี้คือ บราซิล ซึ่งได้ยกดินแดนบางส่วนไปให้ชาวอินเดียนแดงด้วยเหตุผลว่า "พวกเขารู้ดีว่าจะใช้ป่าไม้แบบยั่งยืนได้อย่างไร" ส่วนในคอสตาริกานั้นมีการตั้งกลุ่มอิสระ "อินบิโอ" ขึ้นเพื่อทำการเก็บรวบรวมทรัพยากรจากป่ามาหาว่ามีชนิดใดบ้างที่มีคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจและเป็นการทำงานโดยไม่หวังผลประโยชน์ใดใด เมื่อปีที่แล้ว บริษัทยาขนาดใหญ่อย่าง "เมิร์กค์ แอนด์ โค" ก็ได้ลงทุนถึง 1 ล้านดอลลาร์เพื่อเข้าชมผลิตภัณฑ์ที่สะสมจากป่าของอินบิโอ และหากสามารถนำมาทำเป็นยาได้บริษัทก็ไม่รีรอที่จะจ่ายให้ทางกลุ่มด้วย

วาระที่ 21

กระนั้นก็ตามการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมก็ยังเป็นสิ่งที่ทำไปตาม ๆ กัน ผู้บริโภคยังไม่เห็นเป็นธุระมากนักเพราะต้นทุนที่ต้องเสียไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั้นไม่ได้เห็นอยู่ในสินค้าและบริการที่เขาใช้กันอยู่ทุกวัน ฉะนั้นนักเศรษฐศาสตร์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการวางนโยบายจึงเห็นว่าทางที่ดีควรมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางด้านเศรษฐกิจเสียเลย หลายประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมจึงมีการเก็บภาษีใหม่บางตัว เช่น ปุ๋ย เป็นต้น แลเมื่อเร็ว ๆ นี้กลุ่มอีซี ก็ได้ตกลงในหลักการที่จะเก็บภาษีสารคาร์บอนที่เกิดจากเชื้อเพลิงอินทรีย์ด้วย

แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา อีกส่วนหนึ่งที่หลายฝ่ายมองข้ามไปก็คือ การให้เงินช่วยเหลือและลดหนี้ให้กับประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลาย จึงเป็นที่มาของ "วาระที่ 21" หนึ่งในหัวข้อการประชุมที่ริโอ ซึ่งเสนอว่าประเทศอุตสาหกรรมควรให้เงินช่วยเหลือประเทศที่ยากจนกว่าไม่ต่ำกว่า 125 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ไปจนกระทั่งถึงปลายศตวรรษนี้และอาจจะเพิ่มเงินช่วยเหลือขึ้นได้เมื่อประเทศที่ร่ำรวยกว่าสามารถเพิ่มผลผลิตขึ้นเป็น 0.7% ของรายได้มวลรวมของประชาชาติ

และการช่วยเหลือของประเทศอุตสาหกรรมนั้นไม่ควรไปจมอยู่กับการสร้างเขื่อนและถนนให้มาก เนื่องจากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นตัวทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อมแต่ควรแบ่งสรรงบประมาณด้านความช่วยเหลือไปที่การรักษาดิน, ฟื้นฟูป่าไม้, การวางแผนครอบครัว, การพัฒนาทางด้านเกษตรกรรม, การถ่ายทอดเทคโนโลยีและขจัดความยากจน ที่สำคัญคือควรชูประเด็นการยกเลิกหนี้ให้กับเงินกู้ยืมเพื่อการรักษาธรรมชาติด้วย เพราะเท่าที่ผ่านมามีการทำสัญญายกเลิกหนี้ประเภทนี้ในทั่วโลกเพียง 100 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

ความสำเร็จในระยะยาว

ถ้าหากการพัฒนาแบบยั่งยืนเป็นจริงขึ้น ธุรกิจทั้งหลายจะได้รับประโยชน์มหาศาลจากการเปิดตลาดใหม่, การสร้างงาน และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อวิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตที่จะใช้ทรัพยากรน้อยลง ต้นทุนต่ำ และกำไรสูง ญี่ปุ่นและบางประเทศในยุโรปเห็นประโยชน์ในระยะยาวเช่นนี้แล้ว และได้มีการเร่งมือลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์อยู่ในขณะนี้ นอกจากนั้นยังได้มีการตั้งแผนการพัฒนาแบบยั่งยืนใน 100 ปี และได้ตังสถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยพิทักษ์โลกด้วยเพราะเชื่อว่า "ในอนาคตผู้ที่จะกุมตลาดโลกไว้ได้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดเท่านั้น"

คำถามเรื่องผลของการพัฒนาแบบยั่งยืนนี้มีคำตอบจากการวิจัยของหลายบริษัทด้วยกันเช่นการวิจัยของ "เชลล์ กรุ๊ป" ที่ชี้ว่า การยุติเงินสนับสนุนจากรัฐบาลทุกด้านตั้งแต่ด้านเกษตรไปจนถึงการขุดเจาะน้ำมันจะทำให้มีเงินเพื่อการลงทุนอย่างอื่นอีกมหาศาล และประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายจะสามารถประหยัดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ในอเมริกานั้น ELECTRIC POWER RESEARCH INSTITUTE ก็แจ้งว่าเศรษฐกิจของสหรัฐในปี 2020 จะเล็กลง 2.2% หากสหรัฐสามารถลดปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 20% จากปี 1988 สำเร็จ ELECTRIC POWER RESEARCH INSTITUTE ก็แจ้งว่าค่าใช้จ่ายของสหรัฐในปี 2020 จะน้อย คิดเป็นเงิน 230 พันล้านดอลลาร์

ความผิดของใคร

บางครั้งการแก้ปัญหาก็นำมาซึ่งปัญหาด้วยเหมือนกัน บ่อยครั้งจึงเกิดการกล่าวโทษกันระหว่างแต่ละฝ่ายว่าเป็นต้นเหตุของการทำลายสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การค้าเสรีเพราะในการพัฒนาประเทศที่ยังด้อยอยู่นั้นการค้าเสรีจำเป็นมาก มิฉะนั้นประเทศเกษตรกรรมจะไม่สามารถส่งออกสินค้าเพื่อการพัฒนาประเทศได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นการค้าเสรีก็ทำให้ประเทศอุตสาหกรรมเห็นช่องทางที่จะเข้าไปดำเนินการผลิตในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีวัตถุดิบมากและราคาถูก สุดท้ายก็นำมาซึ่งการทำลายสิ่งแวดล้อมเช่นเคย ไม่รวมความเห็นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระหว่างประเทศอุตสาหกรรม และประเทศกำลังพัฒนาอันนำมา ซึ่งความขัดแย้งไม่รู้จบเพราะประเทศกำลังพัฒนาเห็นว่าการบริโภคที่ฟุ่มเฟือยในประเทศที่ร่ำรวยกว่าตนทำให้สิ่งแวดล้อมเสียไป ส่วนอีกฝ่ายก็อ้างว่าปัญหาคอร์รัปชั่นและการบริหารที่ผิดพลาดในประเทศกำลังพัฒนาต่างหากที่ทำให้เกิดปัญหาความยากจนขึ้น ฉะนั้นประเทศเหล่านี้ควรจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการแก้ปัญหาในระดับหนึ่งไปก่อนที่จะหวังเงินช่วยเหลือจากประเทศอุตสาหกรรม

ประเด็นที่ถกเถียงกันไม่มีวันจบเหล่านี้ทำให้การประชุมก่อนการประชุมจริงที่ริโอไม่สามารถหาข้อสรุปได้ แต่ผู้ที่สนับสนุนแนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืนก็แน่ใจว่าถึงที่สุดแล้วความคิดนี้จะต้องได้รับการยอมรับ ประธานาธิบดีของบราซิลให้ความเห็นไว้ว่า "เราทั้งหลายล้วนแต่อยู่ในเรือลำเดียวกัน และการประชุมที่ริโอนี้เป็นความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน" และผลของมันอาจจะต้องใช้เวลาหลายรุ่นทศวรรษกว่าที่กลายเป็นจริง สิ่งเดียวที่เป็นความหวังของการประชุมคือความพยายามของทุกฝ่ายที่จะฝ่าให้พ้นอุปสรรคหลากประการที่ขวางกั้น เพราะในขณะที่หลายฝ่ายมีจุดยืนที่แตกต่างกัน แต่ก็มีจุดหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือทุกคนต่างกำลังยืนอยู่บนเชิงเขาที่อยู่เชิงเขาที่ขรุขระและสูงชัน และจะต้องปีนเขาลูกนั้นไปพร้อม ๆ กัน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us