Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2535
"กฎหมายสิ่งแวดล้อมทันสมัยขึ้น แต่ปฏิบัติยังไม่รู้"             
โดย รัฐ จำเดิมเผด็จศึก
 


   
search resources

Environment
Law




ประเทศไทยดูเหมือนจะแคบลงเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรและจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้น การใช้การแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติก็เพิ่มมากขึ้นจนบางครั้งการใช้เป็นการใช้เกินขอบเขตจนกระทั่งเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม

เหตุการณ์เมื่อกลางเดือนมีนาคมได้มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมน้ำตาลในจังหวัดขอนแก่นได้ปล่อยน้ำเสียที่มีกากน้ำตาล (โมลาส) ลงในลำน้ำพอง แม่น้ำชี แม่น้ำมูล ทำให้แม่น้ำทั้ง 3 สาย เน่าเสียเป็นเหตุให้เกิดพันธุฆาตกับปลาและสัตว์น้ำจำนวน 89 ชนิด ซึ่งรวมเป็นจำนวนถึง 400,000 ตัน และยังส่งผลกระทบกับประชาชนที่ไม่สามารถทำการประมงและขาดแคลนน้ำใช้ และยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อการประปา ส่วนภูมิภาคที่ไม่สามารถใช้น้ำในการผลิตทำน้ำประปา การดำเนินกิจการของผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมจนสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เท่ากับเป็นการใช้สิทธิตนเองรุกล้ำสิทธิในสิทธิสิ่งแวดล้อมของผู้อื่น ประชาชนทุกคนจึงได้รับส่วนแบ่งของความเสียหาย และความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมด้วยกัน

สิทธิในสิ่งแวดล้อมนี้ได้มีการบัญญัติไว้ในปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับการยอมรับจากนานาชาติ

แต่เดิมมีจุดมุ่งหมายใช้เป็นมาตรการคุ้มครองมิให้รัฐใช้อำนาจเกินขอบเขต หรือเป็นการปรามมิให้ผู้ใช้อำนาจปกครองปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม

ต่อมาได้มีการขยายความหมายให้ครอบคลุมถึงสิทธิที่เกิดขึ้นใหม่ในสังคม เช่น สิทธิที่รัฐจะต้องจัดหางานให้ประชาชน สิทธิที่จะมีที่พักอาศัยอย่างถูกสุขลักษณะ สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ภายในสิ่งแวดล้อมที่ดี

หลาย ๆ ประเทศได้นำเอาสิทธิตามหลักการเหล่านี้มาบัญญัติเป็นกฎหมายภายในเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เช่น THE NATIONAL ENVIRONMANTAL POLICY ACT (NEPA) ของสหรัฐอเมริกา, THE BASIC LAW OF ENVIRONMANTAL POLLUTION CONTROL ของญี่ปุ่น, CANADA WATER ACT ของ CANADA เป็นต้น

การคุ้มครองและรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมของประชาชนที่ถูกคุกคามโดยกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม รัฐบาลบางประเทศได้มีบทบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด

ในสหรัฐอเมริกาได้มีการเพิ่มบทแก้ไขเพิ่มเติมต่อท้ายรัฐธรรมนูญ คือ BILL OF RIGHT ซึ่งมีหลักการว่ารัฐบาลจะต้องคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณะให้ครอบคลุมถึงสิ่งแวดล้อม โดยถือว่ารัฐอยู่ในฐานะเป็น TRUSTEE รัฐจำต้องมีหน้าที่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับสภาพการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และสิ่งอื่น ๆ และให้ทุกคนได้มีโอกาสที่จะใช้ทรัพยากรและสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่มีคุณภาพดีเสมอกัน

เพื่อเป็นการสนับสนุนการใช้อำนาจของรัฐจึงได้มีบทบัญญัติกฎหมายอันได้แก่ NEPA กฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล 1966 ซึ่งเป็นกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิที่จะร้องขอข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้หากมีกิจกรรมใดที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และอาจส่งผลร้ายกับตนเองได้ เว้นแต่จะต้องห้ามโดยกฎหมายมิให้เปิดเผยเช่นเป็นความลับต่อความมั่นคงของประเทศ เป็นต้น

กฎหมายของประเทศแคนาดาก็มีความเข้มงวดโดยนำแนวคิดเรื่องความรับผิดเด็ดขาด (ABSOLUTE LIBILITY) ที่มักนิยมใช้ในการพิจารณาคดีอาชญากรรมและความผิดฐานละเมิด มาปรับใช้กับกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองความเป็นอยู่ที่ดีของสาธารณชน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันสภาวะแวดล้อมเป็นพิษอันเป็นความผิดทางอาญาอย่างหนึ่งที่มีไว้เพื่อคุ้มครองความเป็นอยู่ที่ดีของสาธารณชน

ซึ่งจะเป็นผลให้โจทก์หรือผู้เสียหายในคดีอาญาประเภทนี้ไม่มีหน้าที่ต้องนำสืบถึงเจตนาของจำเลยให้ปรากฏต่อศาล โจทก์ก็เพียงแต่พิสูจน์ว่าจำเลยได้กระทำการใด ๆ ครบองค์ประกอบตามที่กฎหมายในเรื่องการพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมฉบับใดฉบับหนึ่งบัญญัติไว้

เช่น กฎหมายบัญญัติว่าห้ามมิให้ผู้ใดทิ้งสารพิษหรือสิ่งอื่นใดอันเป็นอันตรายต่อคุณภาพของน้ำลงไปในแม่น้ำ และหากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ โจทก์ก็ไม่ต้องพิสูจน์ว่า จำเลยได้กระทำการโดยเจตนหรือประมาทให้ของเสียลงสู่แม่น้า

โจทก์เพียงแต่นำสืบว่าในแหล่งน้ำนั้นถูกเจือปนด้วยของเสียที่ออกมากับน้ำ ทิ้งของโรงงานจำเลยให้สมดังฟ้อง จำเลยก็จะถูกลงโทษตามกฎหมายทันที

จากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้นำเอาแนวความคิดในเรื่องความรับผิดเด็ดขาดมาใช้ในคดีประเภท PUBLIC WELFARE OFFENCES นั้น นอกจากจะก่อให้เกิดการกระตุ้นเตือนกลุ่มผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมให้ต้องระมัดระวังอย่างสูง ต่อการปล่อยของเสียออกสู่ระบบสิ่งแวดล้อมจนอาจสร่งผลกระทบต่อชีวิตร่างกาย สุขภาพอนามัยแล้วยังเป็นการชี้ให้เห็นถึงการเอาใจใส่ดูแลคุ้มครองและการรับรองสิทธิของประชาชนที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีโดยรัฐอีกด้วย

ดังนั้นในกฎหมายใหม่หลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็น CANADA WATER ACT, CLEAN AIR ACT รัฐบาลแคนาดาได้นำเอาแนวความคิดเรื่องความรับผิดโดยเด็ดขาดสอดแทรกไว้ในกฎหมายเหล่านั้นด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ทางสังคมในยุคที่ใช้อุตสาหกรรมเป็นภาคนำในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ

สำหรับประเทศไทยแล้วได้มีบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอยู่มากมายหลายฉบับ เช่นพระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2454, พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2522, พ.ร.บ. รักษาความสะอาด พ.ศ. 2503 เป็นต้น

กฎหมายเหล่านี้ได้ให้อำนาจหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อรับผิดชอบ ทำให้มีความซ้ำซ้อนและขาดการประสานงานเช่นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานหนึ่ง ตรวจพบการกระทำความผิดในเรื่องที่คนรับผิดชอบ แต่ในขณะเดียวกันการกระทำดังกล่าวก็ผิดกฎหมายที่หน่วยงานนี้รับผิดชอบอยู่ด้วย หน่วยงานที่ตรวจพบก็มิได้แจ้งให้อีกหน่วยหนึ่งทราบ ทำให้มีการร้องทุกข์ในความผิดต่าง ๆ ได้อย่างครบด้วย

ต่อมาในเดือนเมษายนได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองสภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกฎหมายแม่บทในการควบคุมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านต่าง ๆ รวมถึงมลพิษทางน้ำด้วย และมีบทบัญญัติในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งแวดล้อมต่อประชาชน ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับบทบัญญัติใน BILL OF RIGHT ของอเมริกาด้วย

และในเรื่องความรับผิดชอบทางแพ่ง ซึ่งบัญญัติไว้ในหมวดที่ 6 มาตรา 96 ได้มีแนวคิดในเรื่องความรับผิดเด็ดขาด (ABSOLUTE LIABILITY) ไว้โดยมีความว่า "แหล่งกำเนิดมลพิษใดก่อให้เกิดหรือเป็นแหล่งกำเนิดของการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายหรือสุขภาพอนามัย หรือเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นหรือของรัฐเสียหายด้วยประการใด ๆ เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายเพื่อการนั้น ไม่ว่าการรั่วไหล หรือแพร่กระจายของมลพิษนั้นจะเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษหรือไม่ก็ตาม"

จะเห็นได้ว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้วางหลักกฎหมายตามแนวที่ประเทศอุตสาหกรรมวางไว้ โดยถือว่าการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นพันธกรณีอย่างหนึ่งที่รัฐต้องดูแลและเอาใจใส่ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นแต่ด้านเดียว และขาดการคำนึงถึงปัญหาสาธารณสุขของประเทศ ไม่อาจทำให้บรรยากาศของสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองพ้นสภาพความวุ่นวายไปได้

สุดท้ายนี้ถึงแม้เราจะมีกำหมายที่ดีสักเพียงใดความผิดต่อสิ่งแวดล้อมก็คงจะไม่หมดไป และอาจมีการพัฒนากลวิธีในการกระทำความผิดให้ยากต่อการตรวจสอบยิ่ง ๆ ขึ้น ตราบใดที่เรายังไม่มีจิตสำนึกว่าสิ่งแวดล้อมเป็นของทุกคนที่ต้องช่วยกันปกปักษ์รักษาเหตุการณ์เช่นที่ขอนแก่นก็ยังต้องเกิดขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us