Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2535
"หนทางใหม่ ๆ ของไทยทนุ"             
 


   
search resources

ธนาคารดีบีเอสไทยทนุ
นิติกร ตันติธรรม
Banking and Finance




เรื่องการใช้เครื่องมือใหม่ ๆ ในการระดมเงินออมกำลังเป็นที่สนใจของแบงก์พาณิชย์ หลายแห่งกำลังพูดถึงการออกตราสารชนิดใหม่ชื่อย่อว่า NCD ไม่ว่าจะเป็นแบงก์กสิกรไทย ทหารไทย ซึ่งเป็นแบงก์ขนาดใหญ่และกลาง แต่ไม่มีแบงก์เล็กแห่งไหนเลยที่ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ยกเว้นแบงก์ไทยทนุที่กล้าบอกกับใคร ๆ ว่าพร้อมแล้ว 100% และดูเหมือนว่าความพร้อมของแบงก์เล็กแห่งนี้อาจจะพร้อมมากกว่าแบงก์ใหญ่บางแห่งเสียด้วย

ธนาคารไทยทนุ แบงก์อันดับ 12 (นับจากสินทรัพย์) เป็นแบงก์ที่มีลักษณะอนุรักษ์สูง ไม่ค่อยจะนิยมทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงมากนัก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ปกรณ์ ทวีสิน กรรมการผู้จัดการเคยประกาศว่าแบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อเรียลเอสเตทเลยไม่ว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา สินเชื่อประเภทดังกล่าวจะมีคนใช้บริการมากแค่ไหนก็ตาม

นับแต่ปี 2533 แบงก์ไทยทนุได้หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบภายในอย่างจริงจัง มีการเตรียมแผนเพื่อปรับปรุงคุณภาพบุคลากร ระบบบัญชีภายในและระบบบริหาร ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้ พรสนอง ตู้จินดา ทายาทสนอง ตู้จินดาผู้ถือหุ้นใหญ่เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการมาบริหารแบบสไตล์คนรุ่นใหม่ไฟแรง เมื่อเขาอยู่ได้ไม่ถึงปีก็ดึงเพื่อนคนหนุ่มจากซิตี้แบงก์มาร่วมงานด้วยความหวังว่าจะช่วยกันสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับแบงก์ได้

นิติกร ตันติธรรมคือคนที่พรสนองชวนมาอยู่ไทยทนุ เขาจบปริญญาโทจากอเมริกาและใช้เวลาช่วงหนึ่งทำงานในหน้าที่บริหารเงิน ซื้อขายเงินตราและเป็นอันเดอร์ไรเตอร์ที่นั่น ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ฝ่ายบริหารเงินซิตี้แบงก์ประมาณ 3 ปี จึงได้ตามพรสนองมารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายและหัวหน้าสำนักบริหารเงินของไทยทนุ

ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งมาปีกว่าเขาได้เตรียมตัวศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารเงินอย่างจริงจัง หนึ่งในตัวอย่างก็คือการศึกษาเพื่อออกตราสารต่าง ๆ ในการระดมเงินฝากรวมทั้งการสร้างตลาดรองรับการซื้อขายตราสารด้วย

NCDs (NEGOTIABLE CERTIFICATE DEPOSIT) หรือที่เรียกตามภาษาไทยว่าบัตรเงินฝากซึ่งเขาบอกว่าความหมายไม่ค่อยจะตรงกันนักจึงถูกเตรียมมานานและพร้อมที่จะออกขายทันที ถ้าแบงก์ชาติประกาศรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติเพราะที่นี่พร้อมถึงขนาดพิมพ์แบบบัตรเงินฝากเรียบร้อยแล้ว

แม้ว่า NCDs จะไม่ใช่ของใหม่สำหรับนักการเงิน แต่ประชาชนไทยและพนักงานแบงก์เองก็ยังไม่คุ้นเคยกับ NCDs เพราะตลอดเวลาตราสารเหล่านี้ถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมายของรัฐ แบงก์ไทยทนุจึงได้แบ่งการเตรียมความพร้อมเป็น 3 ระดับ คือเตรียมการภายในด้านเอกสาร ศึกษาลู่ทางตลาดและข้อกฎหมาย เตรียมทำความเข้าใจกับบุคลากร สุดท้ายคือเตรียมทำความเข้าใจกับประชาชน

งานด้านเอกสารก็มีตั้งแต่จัดเตรียมสัญญาซื้อขาย โอน ออกแบบและจัดพิมพ์ NCDs ฯลฯ เตรียมทำความเข้าใจกับบุคลากรโดยการให้ความรู้เกี่ยวกับ NCDs การซื้อขาย รับจำนำ การรับเรื่องความเสียหายเช่น ลักขโมย บัตรหายเป็นต้น วิธีการลงบัญชีก็ต้องรอบคอบเพราะเป็นตราสารชนิดนี้สามารถเปลี่ยนมือได้และขึ้นเงินที่ไหนก็ได้ด้วย ในส่วนของการเตรียมทำความเข้าใจกับประชาชนนั้น มีการพิมพ์แผ่นพับแจก ซึ่งนอกจากนี้เนื้อหาย่อ ๆ เกี่ยวกับ NCDs แล้วก็จะบอกด้วยว่าคนสนใจที่จะซื้อหรือขายต้องพกบัตรประชาชนมาด้วย

นิติกร บอกว่าแบงก์ต้องการให้ทั้งสำนักงานใหญ่และสาขา สามารถออก NCDs ขายและรับซื้อได้เหมือนกัน แต่ยังมีปัญหาอยู่ที่บุคลากรยังไม่เข้าใจ อาทิ ถ้ามีคนนำ NCDs ที่ออกโดยแบงก์อื่นมาขายให้แบงก์ไทยทนุ พนักงานก็ยังคงไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะรับซื้อในราคาเท่าไร ตรงนี้เองที่ยังหนักใจ

NCDs หรือบัตรเงินฝากจะเป็นเครื่องมืออีกชนิดหนึ่งของสถาบันการเงินในการระดมเงินฝากในระยะสั้นประเภท 3-6 เดือนที่น่าสนใจเพราะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของแบงก์คงที่มากขึ้น ผู้ซื้อจะได้อัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่าเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์และที่สำคัญสามารถนำ NCDs ไปขายต่อได้รวมทั้งจำนำได้ด้วย

ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินกล่าวว่า เหตุผลที่แบงก์ไทยทนุต้องการรุกตลาด NCDs เพราะต้องการร่วมพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนโดยวางเป้าหมายไว้ 4 ประการคือประการแรกต้องการเสริม PRODUCT ให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นในการลงทุน ประการที่ 2 สร้างความคุ้นเคยกับการซื้อขายตราสารเปลี่ยนมือ ประการที่ 3 คือต้องการสร้างตลาดรองขึ้นมาเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการหมุนเวียนเงินในระบบ ประการสุดท้ายต้องการเป็นอันเดอร์ไรเตอร์ตราสารหนี้ภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ ในอนาคตคาดหวังถึงตราสารภาคเอกชนด้วยรวมทั้งสร้างตลาดรองของตราสารหนี้เหล่านี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นจริงด้วย อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่หวังนั้นจะต้องได้รับความร่วมมือกันระหว่างสถาบันการเงินด้วยกันจึงจะสำเร็จ

ปัญหาของตลาดตราสารยังวนเวียนอยู่กับเรื่องเก่า ๆ ก็คือปัญหาภาษีที่แม้รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน จะแก้ไปรอบหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้อย่างหมดจด เดิมนั้นก่อนรัฐบาลอานันท์จะแก้ประมวลรัษฎากรเพื่อรองรับระบบภาษีใหม่ ตราสารทั้งหลายอยู่ในสภาพที่ซื้อขายครั้งใดต้องถูกเก็บภาษีทบต้นโดยคำนวณรวมทั้งต้นทุนและดอกเบี้ยทุกครั้งไปทำให้เกิดการเสียภาษีซ้ำซ้อน คนจึงไม่เป็นที่นิยม สำหรับ NCDs นอกจากติดปัญหาภาษีแล้วยังไม่สามารถโอนเปลี่ยนมือได้ คนที่ซื้อไปต้องกลับมาขายคืนที่เดิมและต้องโอนสลักหลังร่วมกัน ณ ที่ทำการออกบัตรเพราะ พ.ร.บ. ธนาคารพาณิชย์ไม่เปิดโอกาสให้เนื่องจากต้องการแยกวิธีระดมเงินระหว่างไฟแนนซ์กับแบงก์ออกจากกันอย่างชัดเจน แบงก์กสิกรไทยซึ่งเคยออก NCDs จึงไม่ประสบผลสำเร็จ

เมื่อรัฐบาลอานันท์แก้กฎหมายแล้ว แต่ผู้ซื้อมือสองขึ้นไปก็ยังต้องแบกรับภาระภาษีที่เกิดจากมูลค่าส่วนเกินเพิ่มขึ้นอย่างซ้ำซ้อนเช่นกัน เพราะจะต้องเสียภาษีส่วนเกินทุกครั้งที่มีการขาย 15% จากหน้าตั๋ว ซึ่งอาจจะมีผลทำให้ NCDs หมุนเวียนในตลาดไม่คล่องตัว

วิธีการเก็บภาษีเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เขาคาดว่าจะสร้างปัญหาให้นิติบุคคลคือ ด้วยความเชื่อของทางราชการว่านิติบุคคลเป็นองค์กรจดทะเบียนตามกฎหมาย ฉะนั้นการที่จะหลีกเลี่ยงภาษีจึงมีน้อย แม้จะกระทำก็สามารถตรวจสอบได้ด้วยจึงกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่าถ้าเป็นบุคคลธรรมดาขาย NCDs ให้กับบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลขายให้กับบุคคลธรรมดาก็ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาขายให้กับนิติบุคคล ให้นิติบุคคลทำหน้าที่หักภาษีผู้ขายนำส่งกรมสรรพากร เรื่องนี้จะทำให้การขายยุ่งยากยิ่งขึ้น ทั้งนี้อัตราการเก็บภาษีก็แตกต่างกันถ้าบุคคลธรรมดาเสียในอัตรา 15% มูลนิธิ 10% นิติบุคคล 1%

"ใจจริงแล้ว ผมไม่อยากให้มีการเก็บภาษีในรูปแบบเดิมควรจะเก็บแบบค่าธรรมเนียมการซื้อขายทำนองเดียวกับโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้น อาจจะเก็บ 0.1% ของจำนวนเงินทั้งหมดที่มีการซื้อขายแต่ละครั้ง น่าจะยุติธรรมกว่าเพราะเราจะไม่รู้เลยว่าการขายแต่ละครั้งมี CAPITAL GIAN เท่าไร"

รูปแบบบัตรเงินฝากของแบงก์ไทยทนุมีหน้าคล้ายกับตั๋วสัญญาใช้เงินของไฟแนนซ์ทั่ว ๆ ไป นิติกร เล่าให้ฟังว่าบนหน้าบัตรมีเลขที่ เลขรหัส แต่ก็ยังเป็นห่วงเรื่องการปลอมแปลงเพราะบัตรเครดิตยังมีคนสามารถปลอมแปลงได้เลย

บัตรเงินฝากของไทยทนุคาดว่าจะเริ่มที่วงเงิน 5 แสนบาท กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มเดียวกับที่ฝากแบงก์ ไฟแนนซ์อยู่แล้ว แต่บัตรเงินฝากจะคัดเฉพาะลูกค้าระดับสูงของไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะกำหนดให้สูงกว่าเงินฝากประจำ .25% ปกติบัตรเงินฝากจะมีวงเงินสูงกว่านี้เช่นที่สิงคโปร์ วงเงินเริ่มต้นประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นสถาบันการเงิน บริษัทข้ามชาติใหญ่ ๆ แต่ไทยทนุเริ่มแค่ 5 แสนบาทเพราะต้องการให้ฐานกระจายไปสู่กลุ่มลูกค้าชั้นกลางด้วย ในเบื้องต้นคงต้องทำการตลาดแบบ RETAIL BANKING เพื่อให้บัตรเงินฝากมีฐานกว้างสามารถหมุนเวียนได้คล่องตัวขึ้นก่อน คาดว่าอีก 3 ปีจึงไต่ระดับขึ้นสู่ลูกค้ารายใหญ่ได้อย่างแท้จริง

NCDs ในต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นตราสารระยะยาวมีอายุครบกำหนดไถ่ถอนประมาณ 1-2 ปี แต่ไทยทนุจะออกบัตรเงินฝากที่มีอายุ 3-6 เดือนก่อน เพราะเป็นระยะเวลาที่สะดวกสำหรับคนซื้อ ถ้าต้องการใช้เงินก็ถอนได้ภายใน 3-6 เดือนหรือถ้าไม่ต้องรอให้ครบกำหนดก็สามารถขายก่อนได้เลย และถ้าพิจารณาจากนิสัยคนไทยจะพบว่าไม่มีนิสัยการออมเงินแบบระยะยาวอยู่แล้ว ถ้าออกบัตรเงินฝากอายุยาวถึง 2 ปีก็เสมือนหนึ่งเปลี่ยนนิสัยการออมซึ่งจะยากต่อการขาย

การกำหนดอัตราดอกเบี้ยหน้าบัตรเงินฝากสามารถทำได้ 2 กรณี คือแบงก์กำหนดเองเหมือนที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในปัจจุบัน กับการเปิดกลไกตลาดเป็นตัวกำหนด ทั้งสองวิธีจะมีความแตกต่างทางธุรกิจ วิธีแรกแบงก์จะได้เปรียบเพราะมูลค่าของบัตรเงินฝากจะขึ้นอยู่กับภาวะดอกเบี้ยในตลาด ซึ่งถ้าแบงก์มีบทบาทมากก็จะควบคุมทิศทางดอกเบี้ยให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการได้

วิธีที่สองให้สถาบันการเงินมาเสนออัตราแข่งกันเอง เช่นเดียวกับที่ซิตี้แบงก์เคยทำเมื่อครั้งออก CITI NOTE คือเปิดให้แต่ละสถาบันเสนออัตราดอกเบี้ยเข้ามา ซิตี้แบงก์จะเลือกอัตราที่ต่ำสุดแล้วจึงออก CITI NOTE ในอัตราอ้างอิงตามที่ได้มาแบบนี้เรียกว่า REFERENCE RATE หรือ BENCHMARK RATE ถ้าทำตามวิธีนี้อัตราดอกเบี้ยก็จะสะท้อนภาวะตลาดที่เป็นจริง

อัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนภาวะตลาดนี้สามารถบ่งบอกนัยสำคัญของสภาพคล่องในตลาด ตัวอย่างเช่น ถ้าอัตราดอกเบี้ยของ CITI NOTE ต่ำมาก (กรณีที่ดอกเบี้ย CITI NOTE มาจากการเสนอของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง) แต่อัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงแสดงว่าจริง ๆ แล้ว สภาพคล่องในตลาดมีมาก อัตราดอกเบี้ยควรลดลงอีก

ผู้บริหารคนใหม่ของแบงก์ไทยทนุ นามนิติกร เล่าให้ฟังต่อว่า แบงก์ชาติเองฝันที่จะเห็นตลาด NCDs พัฒนาถึงขนาดต้องการให้แบงก์ทำคัสโตเดียนเพื่อเก็บรักษาบัตรเงินฝาก ด้วยความคิดที่ว่าบัตรก็มีสถานภาพเหมือนใบหุ้นซึ่งไม่ควรมีการเบิกเข้าออกแล้วไปเก็บไว้บ้านเพราะสะดวก จึงควรเก็บไว้ในคัสโตเดียนของแบงก์ เมื่อใครจะขายให้ใครก็มาแจ้งแบงก์เพื่อโอนชื่อและผลประโยชน์กันเท่านั้น

"ผมไม่เห็นด้วยเพราะคนไทยยังไม่คุ้นเคยกับบัตรเงินฝาก น่าจะรอสักระยะหนึ่งประมาณ 1-2 ปี แล้วค่อยมาว่าเรื่องนี้ใหม่ ตอนนี้ต้องมาคิดกันว่าทำอย่างไรให้มีตลาด NCDs ขึ้นมา คาดว่าตลาด NCDs ที่จะเกิดคงไม่ใหญ่นัก ตลาดใหญ่น่าจะเป็น COMMERCIAL BOND หรือ COMMERCIAL PAPER มากกว่า ซึ่งก็ต้องมาจากวิวัฒนาการของ NCDs"

แบงก์ชาติยังไม่ประกาศรายละเอียดของ NCDs ว่าขนาดของบัตรมีความกว้างยาวเท่าไร ทางแบงก์ไทยทนุเห็นว่าน่าจะเป็นฟอร์มเดียวกันทุกแบงก์ เนื่องจาก NCDs ยังเป็นของใหม่ ต่อไปถ้าประชาชนคุ้นเคยแล้วจะพัฒนารูปแบบอย่างไรก็ได้ ส่วนผลประโยชน์ที่จะเสนอขายประชาชนก็ทำได้ 2 ลักษณะ ลักษณะแรกคือการเสนอขายแบบมีอัตราดอกเบี้ยหน้าบัตร (INTEREST BEARING INSTRUMENT) เมื่อถึงกำหนดไถ่ถอนจะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ลักษณะที่สองเป็นแบบซื้อลดจากราคาหน้าบัตร (DISCOUNT INSTRUMENT) โดยไม่ระบุดอกเบี้ยแต่เมื่อครบกำหนดจะได้เงินเท่าที่ระบุไว้หน้าบัตร อย่างไรก็ตามช่วงแรกทุกแบงก์ควรจะเสนอขายในแบบเดียวกันเพื่อป้องกันความสับสน

ถ้า NCDs พัฒนามาถึงจุดหนึ่งที่คนรู้จักแล้วก็สามารถบรรจุลูกเล่นต่าง ๆ ให้คนหันมาสนใจได้มากขึ้น เช่น มีการรับประกันดอกเบี้ยโดยไม่ต้องอิงกับภาวะตลาด หรือการจ่ายดอกเบี้ยก่อนกำหนดไถ่ถอน เป็นต้น

เป้าหมายประการที่สองของแบงก์ไทยทนุคือการสร้างตลาดรอง โดยการจะพยายามรับซื้อ NCDs ที่ออกโดยแบงก์อื่นให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีอย่างน้อยที่สุดเงินที่ได้จ่าย การขายบัตรที่ออกโดยไทยทนุก็ถือว่ายังอยู่เพียงแต่ไทยทนุเปลี่ยนสถานภาพเงินนั้นเป็นการฝากแบงก์อื่นไป ถ้าแต่ละแบงก์ทำเช่นนี้ก็จะสามารถสร้างตลาดรองขึ้นมาได้

นิติกรกล่าวอีกว่าปัญหาตลาดรองมีอยู่ว่ายังไม่ได้กำหนดมาตรฐานของการรับซื้อบัตรเงินฝากให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกันทุกแบงก์ ฉะนั้นลูกค้าต้องพิจารณาผลประโยชน์ตนเองว่าคุ้มหรือไม่ต่อการขายในแต่ละครั้ง

ถ้าเป้าหมายสองประการแรกสำเร็จ แบงก์ไทยทนุก็ไม่ยากเลยที่จะก้าวเข้าทำธุรกิจด้านอันเดอร์ไรต์ตราสารหนี้ทั้งของภาครัฐและเอกชน เพราะถือว่าได้ผ่านการทดลองในสนาม NCDs มาแล้ว คาดว่างานอันเดอร์ไรต์จะทำให้แบงก์มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำและไม่มีความเสี่ยงมากเท่ากับการปล่อยสินเชื่อ เป้าหมายประการสุดท้ายของการลุยตลาด NCDs ก็คือ เรียนรู้ตลาดรองจากการซื้อขาย NCDs เพื่อสร้างตลาดรองตราสารหนี้ให้สำเร็จและคิดว่าไม่น่าที่จะไกลเกินเอื้อม ผู้บริหารวัยหนุ่มของแบงก์ไทยทนุกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us