|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กันยายน 2550
|
|
"ผมว่า ผมใช้ชีวิตอย่างปัจจุบันจะดีกว่า ผมชอบสุขนิยม ไม่ต้องมากกว่านี้ก็ได้ ไม่ต้องรู้จักคนมากกว่านี้ ไม่ต้องการอำนาจ ไม่ต้องการเข้าการเมือง"
แม้คำว่า "สุขนิยม" จะไม่ได้เป็นคำพูดที่ธนาใช้จนติดปาก แต่สุดท้ายมันกลับเป็นคำที่ธนาบอกว่า เอาไว้ใช้เป็นปรัชญาส่วนตัวของเขาได้อย่างเหมาะสมและลงตัว
การที่มีหัวหน้าที่ดี และมีลูกน้องคอยช่วยเหลือ เป็นสิ่งที่เขาบอกว่า "ไม่มีอะไรจะดีกว่านี้อีกแล้วในชีวิตการทำงาน"
ในปีที่ 5 ของการทำงานที่ดีแทค ธนาเคยตัดสินใจลาออกไปร่วมงาน กับฮัทช์ ขณะที่มีผู้บริหารจากวงการเดียวกันอีกหลายคนชักชวนให้ไปร่วมงานด้วย แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เพียง 3 เดือน ก่อนบุญชัย เบญจรงคกุล ซีอีโอในขณะนั้นตามตัวกลับมาร่วมงานกับดีแทคอีกหน แต่ธนาถือว่า นี่คือ จุดเปลี่ยนมากที่สุดในชีวิตการทำงานของเขา
ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งและตัวเงิน แต่การลาออกในครั้งนั้น ทำให้เขาได้ ตระหนักว่า ต่อให้ทำงานหนักและเก่งมีฝีมือมากเพียงใด หากไม่รักษาเพื่อน ร่วมงานที่ดีเอาไว้ ก็จะทำให้เขาพลาดโอกาสอะไรดีๆ ไปอย่างแน่นอน
ธนาพิมพ์จดหมายลาเพื่อนร่วมงานขนาดความยาว 3 หน้ากระดาษ ซึ่งเขียนไว้เมื่อตัดสินใจลาออกครั้งนั้นทางเครื่องพิมพ์ ก่อนยื่นให้ "ผู้จัดการ" ได้อ่านเนื้อหาและเรื่องราว ซึ่งบ่งบอกตัวตนและความรู้สึกของเขาต่อองค์กร แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
"ผมกลับมาเจอลูกน้องและเพื่อนร่วมงานอีกครั้งในงานของดีแทค ซึ่งจัดอยู่แถวสยาม ผมพบว่ามันไม่หลงเหลืออดีตที่ดีๆ แบบตอนที่ทำงานในดีแทค วินาทีนั้นผมพบทันทีว่าผมตัดสินใจผิดพลาดมากที่ลาออกไปจากดีแทค และเมื่อคุณบุญชัยตามผมกลับ ผมแทบไม่ต้อง คิดเลย ผมตอบตกลงในทันที และนี่คือจุดเปลี่ยนในชีวิตการทำงานของผมอย่างสิ้นเชิง ผม เคยเป็นคนอีโก้แรง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วครับ เหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมได้คิด" ธนา บรรยายอารมณ์ของตนเองในวันนั้นได้อย่างเห็นภาพ
ทุกวันนี้ธนาใช้เวลาไปกับการทำงานในตำแหน่งตามปกติ มีซิคเว่คอยชี้แนะเหมือนกับ พนักงานคนอื่นทั่วไป ที่ต้องได้รับการประเมินการทำงานแบบรายไตรมาส และยินดีกับการเปลี่ยนแปลงให้องค์กรเคลื่อนไหวมีพลวัตอยู่เสมอ ตามแนวความคิดของซิคเว่ ที่เห็นว่าเมื่อองค์กรนิ่ง พนักงานไม่ปวดท้อง ปวดกระเพาะจากการทำงานเมื่อใด เมื่อนั้นจะไม่มีอะไร ใหม่ๆ เกิดขึ้นในบริษัท
"เมื่อคุณโตแล้วต้องรู้จักฟังให้เป็น" นี่คือสิ่งที่ซิคเว่บอกธนา ในการประเมินผลการทำงานไตรมาสล่าสุด โดยให้เกรดการทำงานแก่ธนาที่ B+ พร้อมกับตักเตือนและแนะนำด้วยวาจาตามปกติของการเป็นหัวหน้า ซึ่งธนาเองก็ยินดีรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เขาว่า มันทำให้เขาเป็นมนุษย์ไม่ใช่เทวดาที่ดูดีไปเสียทุกอย่าง
ครอบครัวของธนาเพิ่งย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยเมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่น้องสาวคนหนึ่งของครอบครัวลงหลักปักฐานอย่างจริงจังที่สหรัฐอเมริกา
ต้นปีหน้าคุณแม่ของธนา วัย 50 กว่าจะเข้ารับพระราชทาน ปริญญาบัตรในฐานะของบัณฑิตคณะนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง หลังจากใช้เวลาเรียนอยู่กว่า 5 ปี ตั้งแต่เรียนจบการศึกษานอกโรงเรียนจนจบชั้นมัธยมปลาย และใช้เวลาว่างจากการย้ายกลับมาเมืองไทย เข้าเรียนจนได้รับปริญญาใบแรกของตัวเอง
ลูกสาวสองคนของธนากับภรรยาอยู่ในวัยกำลังน่ารักน่าชัง ทำให้ธนาไม่คิดที่จะทำให้ชีวิตวุ่นวายมากกว่าที่เป็นอยู่
"ล่าสุดนี่คุณสรยุทธ์ สุทัศนจินดา ได้ชวนผมไปออกรายการทีวี เพราะหนังสือที่ผมเขียนเอาไว้เริ่มเป็นที่รู้จัก ผมคิดอยู่นานเกี่ยวกับ เรื่องนี้ มันเป็นธรรมชาติของคนที่อยากจะดัง แต่ผมก็ปฏิเสธ เพราะหากคนรู้จักในวงการธุรกิจ ผมว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่หากว่าเป็นที่รู้จักในระดับ mass เมื่อไหร่นี่ผมว่าเป็นเรื่องอันตราย ถ้าไปพูดตามงานตามบริษัทผมไม่เคยปฏิเสธ ตอนนี้ผมว่ามันโอเคสำหรับผมอยู่แล้ว พอดีกับตัวเอง อะไรที่มากเกินไปมันจะไม่ดี ผมเป็นคนชอบอยู่บ้าน หากว่าดีแล้วก็ไม่ต้องไปเพิ่มอะไรให้มันวุ่นวายมากมาย" ธนากล่าว
ธนายิ้มแล้วพูดต่อว่า "เมื่อก่อนอายุน้อย ผมคิดอย่างหนึ่งคือไม่ห่วงอะไรมาก เราก็สามารถทำอะไรที่อยากจะทำได้มาก โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสี่ยงหรือไม่ แต่เมื่อโตขึ้น มีครอบครัว ขึ้นเครื่องบินยังกลัวตก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนทำงานสายการบินนั้นผมบินตลอดเลย ไม่เคยกลัวเลย แต่ตอนนี้ขึ้นเครื่องบิน เครื่องบินสั่นนิดเดียวก็คิดถึงลูก โดยฉับพลัน ตอนนี้เป้าหลักๆ ของผมคือ ลูก หลังจากนี้เขาจะโตกว่านี้ ช่วงนี้เขากำลังอยู่กับเรา ที่ผมเริ่มวิ่งก็เพื่อลูก สิ่งนี้คือสิ่งใหม่ที่ผมกำลังทำ นอกเหนือจากงานใหม่ที่ได้รับ เมื่อเร็วๆ นี้
ผมว่าที่ทำงานเหมือนมหา วิทยาลัย ทำงาน เล่นเกม กินข้าว กับเพื่อนฝูง เสร็จผมก็กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว ผมอยู่บ้านวันหนึ่ง หากไม่มีใครอยู่บ้านทั้งภรรยาและลูก ก็มักจะเหงา ลาสองสามวันไม่ค่อยได้ อยากจะมาทำงานเสมอ ดังนั้นดีแทคจึงเหมือนกับที่ที่ช่วยให้ผมคลายเหงาและมีอะไรทำมากขึ้น"
ทั้งหมดนี่คือคำว่า "สุขนิยม" ในแบบของธนา
|
|
|
|
|