Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2546








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2546
คิดนอกรอบ             
โดย ธีรภาพ วัฒนวิจารณ์
 





สิ่งที่ผมสงสัยมาตลอดในการทำงานและการจัดการทางด้านบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงของข้าราชการ ก็คือ การเลือกโปรโมตข้าราชการในตำแหน่งสูงๆ มีเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างไร

ทุกปีในการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งสำคัญๆ ในแวดวงข้าราชการจะต้องมีการคาดเดาว่าคนนั้นคนนี้ควรจะได้ ในหลายครั้งเราจะพบว่าไม่ว่าใครได้ตำแหน่งนั้น (ซึ่งแน่นอนว่ามักจะเป็นตำแหน่งที่มีคู่แข่งอยู่หลายคน) ก็จะมีการแสดงความรู้สึกไม่พอใจออกมาพร้อมกับถามหาหลักเกณฑ์ในการพิจารณา

เราจะพบว่าหากคนๆ นั้นอยู่ในลำดับที่ต่อคิวโดยตรง เราก็จะได้เหตุผลประเภทอาวุโส แต่หากผู้ได้รับตำแหน่งนั้นย้ายมาจากที่อื่น หรืออาวุโสไม่มากนัก (บางท่านอาจเรียก ภาวการณ์ดังกล่าวนี้ว่าเป็นการข้ามห้วย หรือข้ามหัว) เราก็จะได้ เหตุผลในการเลือกอีกแบบหนึ่ง เหตุผลที่คุ้นเคยกันดีคือ ถือความเหมาะสมเป็นหลัก

หากคุณผู้อ่านไม่ได้อยู่ในหน่วยงานนั้นก็คงไม่คิดอะไรมากนัก แต่ในทางตรงกันข้ามหากเป็นคนในหน่วยงานนั้น คำถามที่เกิดขึ้นในใจแต่ละครั้งของการโยกย้ายก็คงจะออกมาในลักษณะประเภท เกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ นั้นเหมือนไม่ใช่เกณฑ์ นั่นคือสุดท้ายแล้วอยู่ที่ผู้บริหารอยากจะให้ใครเป็น พอมาถึงจุดนี้ความรู้สึกที่ตามมาคือ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเด็กของใคร ส่วนเหตุผลนั้นให้ได้ตาม "ความเหมาะสม"

นั่นคือสุดท้ายแล้วการดำรงตำแหน่งของข้าราชการระดับสูง แต่ละครั้งมักจะทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องรู้สึกว่าเป็นเรื่องของ "หลักกู" คือความพอใจของผู้แต่งตั้ง ด้วยความรู้สึกเช่นนี้เหตุการณ์ประเภทการฝากหรือการวิ่งเต้นจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ว่าจะมีการประกาศออกมากี่ครั้งกี่หนจากรัฐมนตรีว่า "ไม่มีการวิ่งเต้น" ก็ตาม

หากเราพยายามมองในแง่ดีว่าเป็นเหตุผลทางการบริหารได้หรือไม่ว่า หากเราจะทำงานให้ได้ผลเราก็ต้องเลือกคนที่เรา "มั่นใจและไว้ใจได้" แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้ว "คนที่มั่นใจ ได้และไว้ใจได้" ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีความสามารถ หรือคนอื่นยอมรับความสามารถในการทำงาน ขอเพียงให้คนนั้นมี "ความ สามารถในการทำให้เราไว้ใจได้" นั่นก็ถือว่าพอแล้ว

อาจมีคนแย้งต่อว่าการถือหลักเกณฑ์แบบนั้นเท่ากับหมาย ความว่า ผู้บริหารมีความลำเอียง และปฏิบัติต่อลูกน้องไม่เท่าเทียมกัน ผู้บริหารเกือบทุกคนมักจะปฏิเสธคำวิพากษ์เช่นนี้ เหตุที่ทุกคนปฏิเสธก็เพราะรู้สึกว่าการยอมรับจะทำให้ขวัญและกำลังใจของลูกน้องแย่ และเป็นการผิดหลักการบริหารที่เชื่อกันว่าทุกคนมีศักยภาพในตนเองและสามารถพัฒนาได้

เมื่อเร็วๆ นี้ผมมีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คือ "First, break all the rules" ซึ่งเขียนโดย Buckingham และ Coffman ผู้เขียนทั้งสองคนทำงานอยู่ แกลลอพ ซึ่งหากเอ่ยถึงแกลลอพ โพลล์ ผมเชื่อว่าเราคงคุ้นเคยกันดี ผู้เขียนทั้งสองได้มีโอกาสเก็บข้อมูล โดยการสำรวจและการสัมภาษณ์บรรดาพนักงานที่เขาเชื่อว่าฉลาดและมีศักยภาพ ในประเด็นว่าคนเหล่านี้ต้องการอะไรจากที่ทำงานของพวกเขา จากงานวิจัยดังกล่าวตลอด 25 ปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้ข้อสรุปที่น่าสนใจว่า สิ่งที่พนักงานเหล่านี้ (แน่นอนว่าไม่ใช่ พนักงานทั่วๆ ไป) ต้องการมากที่สุดไม่ใช่เป็นเรื่องของเงินเดือนหรือสวัสดิการ แต่พวกเขาต้องการหัวหน้าที่ดีและมีความสามารถ

พนักงานเหล่านี้อาจจะเข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งด้วยเหตุผลที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะชื่อเสียงของผู้บริหาร มีโปรแกรมในการพัฒนาและอบรมให้พนักงานมีความสามารถ หรืออาจจะด้วยเหตุผลธรรมดา คือผลตอบแทนที่ดี แต่การที่พนักงานที่มีความสามารถเหล่านี้ยังคงอยู่ในบริษัทต่อไปโดยไม่ลาออกไปเข้าที่อื่นนั้น ผู้เขียนทั้งสองพบว่า ปัจจัยที่ดึงรั้งคนเหล่านี้ให้อยู่กับบริษัทต่อไปและยังคงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเมื่อแรกเข้า ถูกกำหนดจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหัวหน้าที่บังคับบัญชาเขาโดยตรง

ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ดูเหมือนลูกน้องทุกคนทราบกันดีแต่ ผู้บริหารระดับสูงมักจะไม่เข้าใจ เวลามีปัญหาพนักงานที่มีความสามารถลาออกจากหน่วยงาน พวกเขามักจะคิดว่าเป็นปัจจัยที่พนักงานคนนั้น หรือบริษัทคู่แข่งให้ผลประโยชน์ที่ดีกว่า มีน้อยมากที่ผู้บริหารจะหันกลับมาทบทวนว่า ผู้บริหารระดับล่างที่มีสายบังคับบัญชาพนักงานโดยตรง เป็นฝ่ายที่มีปัญหาและไม่สามารถดึงให้พนักงานอยู่ต่อ หรือคงความกระตือรือร้นเหมือนเมื่อก่อนไว้ได้

ดังนั้นดัชนีบ่งชี้ที่ดีในการบอกกับเราว่าองค์กรมีปัญหาเรื่องคนหรือไม่ เราคงต้องพิจารณาว่าหากคุณภาพโดยรวมของบริษัทดีพอ แต่พนักงานหมุนเวียนกันลาออกค่อนข้างมาก และคนที่เคยมีความกระตือรือร้นกลับกลายเป็น deadwood ผู้บริหาร ระดับสูงคงต้องมาสอบทานปัจจัยนี้

อีกประเด็นที่หนังสือเล่มนี้กล่าวไว้น่าสนใจ และเป็นประเด็นที่ผมกล่าวไว้ตอนต้นของบทความ คือในส่วนของผู้บริหารเองหากเขามีพนักงานหรือลูกน้องที่ดีมีความสามารถ และกระตือ รือร้นในการทำงาน เขาจะจัดการอย่างไรให้ลูกน้องยังคงความสามารถและความกระฉับกระเฉงในการทำงานต่อไป

ผู้เขียนทั้ง สองพบว่า จากการสัมภาษณ์บุคคลจำนวนมากมายเขาได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่าผู้บริหารหรือหัวหน้าแต่ละคนจะมีแนวคิดหรือวิธีการ หรือบุคลิกที่แตกต่างกันมากน้อยเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเหมือนกันในการบริหารผู้ใต้บังคับบัญชา คือ ทุกคนให้ความสนใจและโปรโมตลูกน้องคนที่เขาประเมินแล้วว่ามีความสามารถ ในส่วนคนที่เขาประเมินแล้วว่าไม่มีความสามารถพอ ผู้บริหารเหล่านี้จะไม่เสียเวลาไปพัฒนา หรือให้โอกาสการปฏิบัติเช่นนี้นอกจากจะขัดกับความเชื่อทั่วไปว่าทุกคนมีศักยภาพในการพัฒนาแล้ว ยังอาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าพนักงานคนนั้นเติบโตได้เพราะเป็น "เด็ก" ของผู้บริหารคนนี้

ที่จริงแล้วแนวการปฏิบัติที่ดูเหมือนผิดหลักการบริหารที่ดีนั้น ดูจะมีคำอธิบายง่ายๆ ที่เราไม่ค่อยคิดถึงกัน คือ การเสียเวลากับคนที่ไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากจะทำให้ทรัพยากร ต่างๆ สูญเสียไปโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจดึงให้คนที่มีความสามารถ หรือมีประสิทธิภาพแย่ตามลงไปด้วย

คุณผู้อ่านอาจเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่าวิธีการคิดเช่นนี้ได้ผลจริงหรือ คำตอบคือ ผู้สัมภาษณ์เลือกสัมภาษณ์เฉพาะ ผู้บริหารในธุรกิจ หรือบริษัทที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เลือกสัมภาษณ์เหมือนการสัมภาษณ์ผู้บริหารบ้านเราที่ดูที่ตำแหน่ง แต่ไม่ได้ดูภูมิหลังว่าบริษัทนั้นเจริญขึ้นมาจากฝีมือของเขา หรือเขาเข้ามาเมื่อองค์กรนั้นมั่นคงแล้ว

ข้อสรุปของเหล่าผู้บริหารเหล่านี้เป็นประเด็นที่ชื่อหนังสือก็บอกเป็นนัยให้เราทราบ นั่นคือกฎเกณฑ์มีไว้บอกกับเราว่าคนอื่นเคยทำอย่างไร แล้วได้ผล แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเลือกทำวิธีอื่นไม่ได้ อาจจะสรุปเหมือนท่านนายกฯ บ้านเรา ที่บอกกับข้าราชการหรือคนที่แย้งความเห็นท่านว่าต้องหัดคิดนอกกรอบ อย่าไปยึดติดกับแนวคิดเก่าๆ ที่อาจไม่ทันยุคสมัย

ความรู้หรือหลักการบริหารต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันคงเป็นเพียงแค่แนวทางแต่ไม่ใช่กรอบที่เราจะต้องดิ้นอยู่แค่ในนั้น เราจะเห็นว่าความรู้ในการบริหารเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือที่เราคาดหวังว่ามันจะช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น SWAT analysis หรือ Balancing Score Card หรือแนวคิดอื่นๆ ที่อาจจะเฟื่องฟูขึ้นมาทดแทนในอนาคต

ถึงที่สุดอาจมีคนตั้งคำถามว่าตกลงงานบริหารนั้นเราไม่จำเป็นต้องตีกรอบการทำงานเราใช่ไหม ขณะกำลังเขียนบทความนี้ผมได้ยินเสียงแว่วมาไกลว่า "นายยังคงเป็นนาย คุณเป็นใครถึงจะกล้าเถียงหรือเก่งกว่านายได้" ดูเหมือนเสียงนี้ฟังคล้ายกับเสียงคุณสมคิด

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us