ในที่สุดสงครามก็เปิดฉากขึ้น โดยยังไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ว่าจะจบลงอย่างไร แต่ที่แน่นอน
การเริ่มต้นของสงครามครั้งนี้ นักวิชาการหลายคนวิเคราะห์ว่าเป็นจุดจบ ของยุคหลังสงครามเย็น
(Post Cole War) และเป็นช่วง ของการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่เพื่อเข้าสู่ยุคใหม่
ซึ่งยังไม่มีใครเจาะจงได้ว่าจะเรียกยุคใหม่นี้ว่ายุคอะไร...
อาจจะเข้าทำนอง "เหล้าเก่าในขวดใหม่"... ตัวเล่นเดิมๆ แต่มีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายใหม่
อันส่งผลให้อเมริกากลายเป็น "Home Alone" และเมื่อเวลานั้นมาถึง อเมริกาจะรู้ว่า
ความโดดเดี่ยวนั้น ไม่ง่ายต่อการคงเป็นประเทศอภิมหาอำนาจในโลกยุคใหม่...
อเมริกา ในช่วงล็อบบี้หาพันธมิตรในการทำสงครามกับอิรัก มีฝรั่งเศสเป็นชาติที่ต่อต้านคัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยว
เหตุนี้ได้สร้างความขุ่นเคืองให้แก่นักการเมืองฝ่ายรีพับริกันหลายคน จนกระทั่งวันหนึ่ง
CNN รายงานว่า โรงอาหารในรัฐสภาอเมริกันเปลี่ยนชื่อในเมนูอาหารจาก "French
fries" เป็น "Freedom fires" แม้กระทั่ง "French toast" เป็น "Freedom toast"
นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า ชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งรวมใจกันเทไวน์จากฝรั่งเศสทิ้งกลางถนน
เพื่อประท้วงฝรั่งเศสที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลอเมริกัน... ขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่เห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ...
แต่หากพิจารณาให้ดี เรื่องไร้สาระเล็กน้อยที่ เกิดจากทัศนคติส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลโดยโยงเข้าสู่สถานการณ์ระดับชาติ
สามารถสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ไม่น้อย...
ในทางกลับกัน ฝรั่งเศสประเทศที่ต่อต้านรัฐบาลอเมริกันในการทำสงครามกับอิรัก
กลับมีโรงแรมเด่นโรงแรมหนึ่งที่เขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับยาวถึงแขกชาวอเมริกันไว้บนเว็บไซต์
www.republiquehotel.com โดยมีข้อความว่า
"ถึงเพื่อนๆ ชาวอเมริกันที่รัก ในช่วงเวลาที่ผ่านมา นักการเมืองและสื่อมวลชนจากทั้งสองฝั่งแอตแลนติก
ได้ปล่อยข่าวโจมตีความสัมพันธ์ของพวกเรา
โดยฝั่งอเมริกากล่าวหาฝรั่งเศสว่า ชาวฝรั่งเศสหยิ่งยโส ทรยศหักหลังชาวอเมริกัน
และทางฝ่ายฝรั่งเศสก็พ่นใส่อเมริกาว่า เป็นพวกบ้าสงครามกระหายอำนาจในการครองโลก...ช่างเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี...
เพื่อนๆ จงหยุดสาดเสียเทเสียกันชั่วครู่ แล้วลองร่วมกันคิดสักนิดหนึ่งว่า
ใครกันที่มีอาวุธกระจายเสียงป่าวประกาศข้อความเหล่านี้...แน่นอนไม่ใช่พวกคุณและ
พวกเราที่เป็นประชาชนคนน้อยๆ เท่านี้ แต่เป็นพวกสื่อมวลชนและนักการเมืองนั่นเอง
นักการเมืองส่วนใหญ่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองก่อนเสมอ ส่วนนักข่าวก็เป็นผู้ลุ่มหลงในสุ้มเสียงของตนเอง
เก่งกาจในเรื่องของการแสวงหาความขัดแย้ง โดยไม่คำนึงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่กุขึ้นมา...
ความจริงก็คือ พวกเราชาวฝรั่งเศสยังคงชื่นชมสรรเสริญชาวอเมริกันอย่างเสมอมา
พวกเราไม่เคยลืมว่า พวกเราเป็นหนี้บุญคุณของพ่อแม่ปู่ย่าตายายของพวกคุณ พวกเขาต้องสูญเสียเลือดเนื้อในแผ่นดินเราเพื่อปกป้องพวกเรา
(เมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่สอง) ถนนหลายสายที่นี่จะยังคงชื่อตามนายพลชาวอเมริกันไว้ตราบนาน
"ความชื่นชมของพวกเรายังไปไกลถึงวัฒนธรรมของพวกคุณ พวกเราชื่นชอบเพลง Blue,
Jazz, Rock และ Hip-Hop... ส่วนรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ หากถาม ถึง Cadillac
และ Harley-Davidson คุณจะได้รอยยิ้มตอบรับอย่างทันที พวกเรายังคงชื่นชมภาพยนตร์อเมริกัน...
ยังคงสูบบุหรี่ยี่ห้อ Marlboro, Philip Morris และ Camel มากกว่าที่พวกคุณสูบกันซะอีก
อาหารฟาสต์ฟู้ดและเครื่องดื่มอัดลมสัญชาติอเมริกันยังคงเป็นที่ชื่นชอบของพวกเรา
ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกสื่อกล่าวหาว่า เราชาวฝรั่งเศสรับประทานแต่อาหารฝรั่งเศสเท่านั้น...
ยิ่งกว่านั้น ภาษาอังกฤษยังคงเป็นภาษาที่สองของ พวกเรา แม้ว่าสำเนียงจะเพี้ยนไปบ้าง
แต่เราก็พยายามเหมือนกับที่พวกคุณก็พยายามฝึกภาษาฝรั่งเศสของ พวกเรา...
พวกเราเห็นคุณค่าของความเป็นสุภาพชนของพวกคุณยามที่พวกคุณมาเยือนแผ่นดินเรา
ซึ่งเราเองไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าพวกเราประพฤติตัวได้อย่างพวกคุณบนแผ่นดินอเมริกา...
ทั้งนี้ พวกเราในฐานะผู้ผ่านการเดินทางข้ามประเทศทราบว่า ความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมของทั้งสองฝ่ายสามารถประสานได้ด้วยรอยยิ้มและถ้อยคำที่ดีต่อกัน...
คุณเป็นที่ต้อนรับอย่างยิ่งในแผ่นดินฝรั่งเศส เรามีหลากหลายสิ่งที่พร้อมเสนอพวกคุณ
โดยพวกเราหวังว่า สิ่งเหล่านั้นคงจะมีบ้างที่จะประทับใจพวกคุณ...
อย่าไปใส่ใจกับเรื่องปั้นแต่งจงใจให้เกิดความขัดแย้ง พวกเรากับพวกคุณก็เป็นแค่พลเมืองธรรมดา
ไม่ใช่รัฐบาลหรือสื่อมวลชน...ขอพวกเรายังคงมิตรภาพนี้ไว้"
นี่เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นทัศนคติของสองฝ่ายที่แสดงออกต่อกัน
ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นความขัดแย้งเสมอไป หากแต่ใช้การพิจารณาแยกแยะระหว่าง
"อารมณ์" และ "ความสมเหตุสมผล" ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นจะแตกต่างกัน...
ยังมีอีกเรื่องนี้ที่น่าถ่ายทอดให้คนที่ไม่ใช่คนอเมริกัน โดยเฉพาะไม่ใช่ทหารอเมริกัน...
แต่เชื่อว่า หากตัดคำว่า อเมริกันออกแล้วใส่คำอื่นลง เช่น ไทย จีน ฝรั่งเศส
เยอรมัน รัสเซีย หรืออื่นๆ คงจะมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน...
เรื่องนี้เป็นเรื่องมิตรภาพของเพื่อนสองคน คนหนึ่งส่งอีเมลมาจากเรือรบกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ถึงเพื่อนผู้อยู่บนฝั่งว่า "ขอบใจที่อุตส่าห์เจียดเวลาอีเมลมาหาผม ผมดีใจที่คุณสบายดี
ส่วนผมเองก็ยังสบายดีอยู่ ผมยังนั่งลอยเท้งเต้งอยู่ที่นี่ กลางทะเล รอคำสั่งให้ขึ้นฝั่งไปยังสนามรบ
หน่วยผมมีงานที่ถูกมอบหมายให้ทำในหลายส่วนด้วยกัน แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า จะเป็นที่ไหน
เมื่อไร เวลาใด ผมอยากจะขึ้นบกไปสู้ให้รู้แล้วรู้รอด น่าเบื่อจะตาย ได้แต่รอ
รอ รออยู่บนเรือ ไม่มีอะไรให้ทำมากนักบนเรือ ที่ก็คับแคบเกินกว่าที่จะทำอะไรได้
ผมก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนังบนเครื่อง Laptop ที่ผมหิ้วมาด้วย
เมื่อเวลาขึ้นฝั่งใกล้เข้ามา ผมก็เริ่มคิดถึงชีวิตของ ตัวเองที่ผ่านมาว่า
ถ้าผมสามารถย้อนเวลากลับไปได้สมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ผมก็คงจะเลือกเรียนให้จบแทนที่จะเลือกมาเป็นเป้ากระสุนอย่างนี้...อย่าเพิ่งเข้าใจผิด
ผมรักที่จะเป็นนาวิกโยธินอยู่ แค่ไม่อยากจะเชื่อว่า... ครั้งสุดท้ายที่ผมจูบลูกชาย
จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นรอยยิ้ม ของลูกชาย...
มีนาวิกโยธินมากกว่า 20 นายแล้วที่เสียชีวิต และ แน่นอนต้องมีมากขึ้นอีก
ผมไม่อยากจะคิดว่าผมมีโอกาส ที่จะไม่ได้กลับไปบ้าน... เพียงแต่ไม่อยากให้ลูกคิดว่าผมเป็นแค่ลูกเรือที่ประจำการอยู่แต่ในหน่วย
ผมอยากให้เขารู้ว่าครั้งหนึ่งพ่อของเขาได้ออกไปปฏิบัติหน้าที่แนวหน้า แค่นี้ก็มีความหมายมากมายแล้วสำหรับชีวิตผม..."
นี่เป็นเพียงบางส่วนของเนื้อความอีเมลที่นาวิกโยธินอเมริกันวัย 27 ปี เขียนถึงเพื่อนผู้อยู่บนฝั่งที่ยังไม่รู้ชะตาว่าจะต้องถูกเรียกไปปฏิบัติภารกิจเดียวกันหรือไม่
รู้เพียงอย่างเดียวว่า...เมื่อถึงเวลา... พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น..ในอเมริกามีหนุ่มสาวไม่น้อยที่สมัครเข้าร่วมปฏิบัติการกับหน่วยงานทหาร
เนื่องจากเป็นแหล่งสนับสนุนทางการเงินที่ดี...ยามสงบ พวกเขาได้กินฟรี เรียนฟรี
แต่ยามรบ พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธ...
...จะเป็นคนอเมริกัน ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน เยอรมัน เกาหลี หรือคนชาติไหนๆ
ต่างก็เป็นคนธรรมดา เช่นเดียวกับเราคนไทยเดินดินที่เบียดอาศัยอยู่ร่วมรวมกันบนโลกน้อยใบนี้...
จะสร้างความขัดแย้งกันไปเพื่ออะไร!!!