จากนี้ไปบทเรียนพัฒนาการของบริษัทอเมริกัน ซึ่งถือเป็นแม่บทของการบริหารธุรกิจทั่วโลก
จะถูกจับตามองในหลายมิติมากขึ้น
ระดับบริษัท เจ้าของ และผู้บริหารธุรกิจที่เคยศึกษาบทเรียนจากบริษัทอเมริกันในด้านดีอย่างเดียว
คงต้องศึกษาด้านไม่ดีด้วย ขณะเดียวในการบริหารระดับชาติ ซึ่งอิทธิพลการบริหารแบบอเมริกันมีอิทธิพลต่อการบริหารลักษณะนี้มากขึ้น
มิใช่เพียงอิทธิพลความคิดของ Peter Drucker ที่บอกว่าศาสตร์การบริหารใช้ได้ไม่จำกัดเฉพาะธุรกิจเท่านั้น
หากเป็นพัฒนาการธุรกิจในระดับชาติในโลก เริ่มเข้าไปมีอิทธิพลระดับชาติมากขึ้นๆ
จนทำให้ชาติกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบธุรกิจโลกไปแล้ว
กรณีบริษัทไอบีเอ็มประเทศไทย ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นพัฒนาการของบริษัทอเมริกัน
ที่พยายามมีอิทธิพลในต่างประเทศอย่างน่าสนใจในบางมิติ
ในช่วงต้น ยาวนานประมาณ 30 ปี บริษัทไอบีเอ็มบริหารโดยคนอเมริกัน อันเป็นช่วงความรู้ด้านเทคโนโลยียังไม่กระจายสู่สังคมไทย
รวมทั้งศาสตร์ของการบริหารยังไม่พัฒนาการควบคุมการบริหารข้ามพรมแดน โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับในช่วง
10 กว่าปีมานี้
ที่สำคัญในช่วงนั้นกิจการในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชน ที่สนใจใช้สินค้าไอบีเอ็ม
ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากเงินช่วยเหลือหรือเงินกู้จากองค์การระหว่างประเทศ
ที่สหรัฐอเมริกามีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานสถิติแห่งชาติ จุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หรือแม้แต่ปูนซิเมนต์ไทย ที่เริ่มใช้ไอบีเอ็มอย่างเป็นล่ำเป็นสันก็หลังจากกู้เงินจากธนาคารโลก
ที่มาพร้อมกับแรงกดดันให้ปรับปรุง มาตรฐานระบบบัญชีนั่นเอง
จากนั้นเมื่อตลาดเปิดกว้างมากขึ้น เริ่มต้นจากหน่วยงานรัฐ และองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลในสังคมไทย
อาทิ ธนาคาร ไอบีเอ็มจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงความคิดใช้คนไทยที่มีฐานะทางสังคม
พวกเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับชนชั้นนำในสังคม ไทยที่ว่านั้นคือ ยุคของสมภพ
อมาตยกุล, ชาญชัย จารุวัสตร์ และช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาสู่ วนารักษ์ เอกชัย
ก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการใหญ่ ไอบีเอ็ม
พวกเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารมืออาชีพคนไทยที่ทำงานกับบริษัทระดับโลก
เป็นยุคเติบโตช่วงสำคัญช่วงหนึ่งของลูกจ้างในสังคมไทย
จากนั้นมา เมื่อเข้าสู่การบริหารเพื่อเน้นประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าสู่ตลาดฐานกว้างมากขึ้น
ไอบีเอ็มปรับความคิดทางยุทธศาสตร์อีกครั้ง ในการ ใช้คนที่ถูกฝึกมาอย่างดีให้ทุ่มเททำงานให้ไอบีเอ็ม
ซึ่งนับว่าเป็นศาสตร์ของการบริหารอย่างหนึ่งของบริษัทอเมริกัน ก็คือศาสตร์การใช้คน
ฝึกคน และประเมินผลงาน (ด้วยเครื่องมือการบริหารที่ทรงประสิทธิภาพ) ให้ทำงานกับบริษัทอย่างมีเป้าหมาย
มีกระบวนการทำงานที่เข้มข้นอย่างยิ่ง
ทรงธรรม เพียรพัฒนาวิทย์ และศุภจี สุธรรม พันธุ์ คือสองคนสุดท้ายที่มาจากกระบวนการพัฒนา
ไอบีเอ็มในประเทศไทย
ส่วนภาพกว้างของไอบีเอ็มระดับโลกนั้น ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ก็คือการปรับตัวตามยุทธศาสตร์ของ
บริษัทอเมริกัน ภายใต้การสนับสนุนของยุทธศาสตร์ ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่มีความชัดเจนอย่างยิ่ง
มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับบริษัทอเมริกันที่มีอิทธิพลในระดับโลก
และดูเหมือนวงจรของบริษัทอเมริกันที่เติบโตตามแรงหวี่ยงของระบบเศรษฐกิจโลก
ที่สัมพันธ์กับกิจการที่เป็นไปตามธรรมชาติของทุนนิยม เสรี จะเดินมาถึงจุดสำคัญ
คล้ายๆ กับจุดเริ่มต้นของไอบีเอ็มที่เข้าเมืองไทยด้วยแรงขับดันทางยุทธศาสตร์ของอิทธิพลอเมริกัน
- วิกฤติเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ ได้รับผลกระทบจากการปรับสมดุลของเศรษฐกิจโลกที่มีระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ที่ใหญ่ที่สุดเป็นศูนย์กลาง จะด้วยสาเหตุใด ผมไม่ประสงค์จะอรรถาธิบายในบทความนี้
แต่ที่สำคัญผู้มีบทบาทและได้ประโยชน์ในกระบวนแก้ปัญหานั้น มีบริษัทอเมริกันเป็นแกนในการรุกของการลงทุนที่ต้นทุนถูกลง
การได้เป็นที่ปรึกษาในรูปแบบต่างๆ ในการแก้ปัญหาตามวิธีคิดของพวกเขาที่ผ่านองค์การนานาชาติ
ระบบธนาคารไทยและธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยถูกแรงดันให้ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่
ด้วยการลงทุนซื้อความรู้และเทคโนโลยีที่มีบริษัทอเมริกันเป็นศูนย์กลาง
- การกระพือวิกฤติการณ์ปี 2000 อันจะกระทบกับระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่บริษัทอเมริกัน
มีอิทธิพลมากที่สุดอยู่แล้ว ทำให้ทั่วทั้งโลกต้องลงทุนซื้อสินค้าและบริการอเมริกันครั้งใหญ่
- เช่นเดียวกับความพยายามในการปรับโครงสร้างต้นทุนพลังงานของศูนย์กลางทุนนิยม
ที่ตะวันออกกลาง เชื่อกันว่าจะทำให้บริษัทอเมริกันได้ประโยชน์อย่างมากมายตามมา
วันนี้ศาสตร์การบริหารแบบอเมริกันกำลังกลายเป็นเพียง "จิ๊กซอว์" หนึ่งของยุทธศาสตร์ในการสร้างอิทธิพล
และรักษาความเป็นผู้นำระบบเศรษฐกิจโลกไว้ ยุทธศาสตร์เหล่านี้จับต้องได้มากขึ้น
มีความไม่เป็นไปตามกฎกติกาที่พวกเขาเองสร้างมากขึ้น
บริษัทอเมริกันกำลังสอนบทเรียนทางอ้อมให้ทั้งระดับบริษัทและประเทศ เรียนรู้ในการวางยุทธศาสตร์ของตนเองขึ้นมาเป็นฐานความคิดสำคัญ
มิใช่เดินตามมาตรฐานแบบอเมริกัน อย่างไม่มีข้อกังขาเช่นช่วงที่ผ่านมาอีกแล้ว
ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจโลก และการบริหารธุรกิจจากนี้มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
การบริหารยุคใหม่จะต้องใช้ความคิดและบทเรียนมากกว่าตำราบริหารแบบอเมริกันมากมายนัก