“ไรมอนแลนด์” เชื่อหลังเลือกตั้งตลาดฉลุย เร่งผุด 3 โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมกว่า 23,000 ล้านบาท รับความต้องการตลาดไฮเอนท์ คาดงบลงทุนกว่า 12,000 -14,000 ล้านบาท แจงมีสต็อกยอดขายในมือแล้ว 6,000-7,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ทั้งปี 2,000 ล้านบาท หลังครึ่งปีแรกรับรู้ไปแล้ว 700ล้านบาท เผยผลการศึกษาตลาดคอนโดฯ ครึ่งปีแรกตลาดบนชะลอตัว ซัปพลายตลาดบนยังลด
นายกิตติ ตั้งศรีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและจัดการ บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการพัฒนาโครงการในช่วง 6เดือนหลังต่อเนื่องไปถึงต้นปี2551 ว่า จะเปิดตัวโครงการคอนโดฯใหม่3 โครงการ ประกอบด้วยโครงการ เดอะริเวอร์ โครงการนอชพอยท์ และโครงการ 185 ราชดำริ มูลค่ารวมถึง 23,000 ล้านบาท โดยโครงการเดอะริเวอร์ มีมูลค่ารวมโครงการ 11,500 ล้านบาท ร่วมทุนระหว่างกลุ่มทุนฮ่องกงถือหุ้น 25% พันธมิตรจากประเทศดูไบ 15% และบริษัทไรมอนแลนด์ฯถือหุ้น 60% โดยโครงการดังกล่าวได้เปิดพรีเซลส์ตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา มียอดขายแล้ว 3,200 ล้านบาท และจะเปิดขายเป็นทางการในเดือนต.ค.นี้
ส่วนโครงการ นอชพอยท์ มีมูลค่ารวม 4,800 ล้านบาท ซึ่งมียอดพีเซลส์แล้ว 2,37 ล้านบาท และจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้ สำหรับโครงการ 185 ราชดำริ มีมูลค่าขายรวม 7,000 -8,000 ล้านบาท จะเปิดขายในช่วงต้นปี2551 ทั้งนี้ บริษัทจะใช้งบลงทุนในทั้ง 3 โครงการประมาณ 12,000 -14,000 ล้านบาท โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากการกู้สถาบันการเงินเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินจากเงินดาวน์จากการขายโครงการประมาณ 30%
“ งบการพัฒนาทั้ง 3 โครงการ จะแบ่งออกเป็นงบซื้อที่ดิน ส่วนหนึ่งจะใช้กระแสเงินของบริษัท ส่วนที่เหลือจะใช้เงินกู้สถาบันการเงินในสัดส่วน 50% ส่วนงบในการก่อสร้างจะใช้ประมาณ 70% จะผสมระหว่างเงินกู้และทุนของบริษัท ”
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายสะสมในมือแล้ว 6,000-7,000 ล้านบาท และคาดจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้ภายในสิ้นปี บริษัทมียอดขายสะสมประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในช่วง3-4 ปีจากนี้ไป ซึ่งในช่วงต้นปี 2550 บริษัทได้รับรู้รายได้จากการขายไปแล้ว 700 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีจะสามารถรับรู้รายได้รวม 2,000 ล้านบาท
ด้านนายไนเจิล เจ คอร์นิค กรรมการผู้อำนวยการ กล่าวว่าจากการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ศูยน์กลางธุรกิจ (CBD)ในช่วง 6เดือนแรกของปี2550 พบว่า มีห้องที่เสนอขายในตลาด2,692 ยูนิต จาก13 โครงการ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากที่ดินเขตCBDลดลง ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการหันมาพัฒมาโครงการระดับพรีเมียม(ราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท/ ยูนิต) โดยในช่วงครึ่งปีแรก ห้องชุดที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในพื้นที่ใจกลางเมืองมีจำนวนทั้งสิ้น 3,868 ยูนิต มีการโอนทั้งสิ้น 812 ยูนิต มีมูลค่ารวมกว่า 5,960 ล้านบาท โดยในส่วนนี้เป็นชาวต่างชาติอยู่ที่17%หรือ 1,000 ล้านบาท
ในขณะที่ แนวโน้มการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) จะมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงการคอนโดฯระดับกลางในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี50 นี้ สามารถแบ่งสัดส่วนการเปิดตัวโครงการตามทำเลต่างๆ ประกอบด้วย ย่านกลางเมือง 23% , ท่าพระ 23%, สุขุมวิทตอนปลาย (อ่อนนุช, อุดมสุข)/ บางนา 23% , รัชดาภิเษก 23%, และพหลโยธิน 8% อย่างไรก็ตาม โครงการระดับพรีเมียมในเขต CBD ที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดคือ พื้นที่สุขุมวิทซึ่งมีส่วนแบ่งอยู่ 41% , ริมน้ำเจ้าพระยา 26% ในขณะที่ สีลม/ สาทร และลุมพินี มีส่วนแบ่งอยู่ 13%
" เชื่อว่า ความต้องการซื้อคอนโดฯในตลาดระดับล่าง ยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากสินค้าที่ออกมาใหม่เหมาะสมกับกำลังซื้อ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำ ในขณะที่ตลาดระดับบน ยังน่าจับตาดู แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรก แนวโน้มยังคงดีอยู่ เพราะภาพตลาดระดับบนค่อนข้างแปรผันตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งคาดการณ์ว่าหลังการเลือกตั้งในปีหน้า จะสร้างความชัดเจน ประกอบกับแผนการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า จะส่งผลให้สามารถเรียกความมั่นใจของผู้บริโภคกลับมาอีกครั้ง
|