Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน28 สิงหาคม 2550
พิษซับไพรม์ทำเงินไหลออกกว่า8พันล.             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
Economics




แบงก์ชาติเผยช่วงวิกฤตซับไพรม์ 2 สัปดาห์สุดท้ายเดือนก.ค. ต่างชาติเทขายหุ้นมีเงินไหลออกจากไทยกว่า 8 พันล้าน ขณะที่ 7 เดือนแรกของปี มีเงินทุนจากต่างประเทศทะลักเข้าไทย 1.16 แสนล้านบาท สูงเป็นอันดับ 3 ของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย และมีแนวโน้มเงินทุนเริ่มไหลเข้าอีกระลอกหลังหลังรัฐธรรมนูญผ่าน ทำให้ทิศทางเงินบาทยังแข็งค่าต่อ

รายงานข่าวจากสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)แจ้งยอดเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ล่าสุด ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2550 โดยเอกสารระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2550 จนถึงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีเงินทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้รวมถึงประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินภูมิภาคและค่าเงินบาทของไทยปรับตัวแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากกลางเดือนกรกฎาคมได้เกิดเหตุการณ์ที่กระทบกับความเชื่อมั่นในความมั่นคงของตราสารหนี้ที่มีสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพหนุนหลัง(ซับไพร์ม)ในสหรัฐ ประกอบกับดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการเทขายหุ้นในตลาดหุ้นภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเงินเริ่มไหลออกจากภูมิภาคนี้ จากการนำเงินออกเสริมสภาพคล่องให้กับบางกองทุนที่ขาดทุนจากสภาวะดังกล่าว

สำหรับ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม หรือ 7 เดือนแรกของปี มีเงินไหลเข้าสุทธิในกลุ่มเอเชียเกิดใหม่ 6 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน,เกาหลี,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์,อินเดีย และไทย(เอเชีย-6) จำนวนทั้งสิ้น 15,537.2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเทศไทยมีเงินไหลเข้ามากเป็นอันดับที่ 3 ของกลุ่มจำนวน 3,428 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 116,552 ล้านบาท (ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ขณะที่ประเทศอินเดียมีเงินไหลเข้าสูงสุดในภูมิภาคจำนวน 9,188.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยไต้หวันจำนวน 5,998 ล้านเหรียญสหรัฐ ฟิลิปปินส์จำนวน 1,883.9 ล้านเหรียญสหรัฐ และอินโดนิเชียจำนวน 1,758.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เกาหลีใต้เป็นยอดเงินไหลออกทั้งสิ้น 7,073 ล้านเหรียญสหรัฐ

และหากพิจารณาเงินไหลเข้าตั้งแต่ต้นปี 2550 จนถึงครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคมมีเงินทุนไหลเข้าเอเชีย-6 รวมทั้งสิ้น 25,174 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไต้หวันเป็นประเทศที่มีเงินทุนไหลเข้ามากที่สุด 10,521 ล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 2 ประเทศอินเดีย 7,675.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนประเทศไทยเป็นอันดับ 3 มีเงินไหลเข้าจำนวน 3,677.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 125,028.2 ล้านบาท ฟิลิปปินส์ 1,823.9 ล้านเหรียญสหรัฐ และอินโดนิเชีย 1,619.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เกาหลีใต้มีเงินไหลออก 497 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม ซึ่งมีการเทขายหุ้นในภูมิภาคนี้เป็นจำนวนมาก ได้ส่งผลให้มีเงินไหลออกทั้งสิ้น 9,636.8 ล้านเหรียญ โดยมีเงินไหลออกจากประเทศเกาหลีใต้มากที่สุด 6,576 ล้านเหรียญสหรัฐ มีเงินไหลออกจากไต้หวัน 45,230 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ประเทศไทยมีเงินไหลออก 49.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 8,476.2 ล้านบาท แต่ในส่วนของอินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดียยังเป็นเงินไหลเข้า 138.2 ล้านเหรียญสหรัฐ 60 ล้านเหรียญสหรัฐและ 1,513.2 ล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ

นอกจากนี้ ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า สภาวะที่มีเงินไหลออกจากไทยดังกล่าว ถือว่าเป็นปัจจัยระยะสั้นและจะไม่กดให้ค่าเงินบาทอ่อนลงได้มากนัก ซึ่งเท่าที่ติดตามจะเห็นได้ว่า หลังจากประชามติผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมาได้มีเงินไหลเข้าจากต่างประเทศอีกครั้ง โดยค่าเงินบาทล่าสุดที่ประกาศโดย ธปท.วานนี้อยู่ที่ระดับ 34.33 บาทต่อดอลลาร์นั้น อ่อนค่าลง 1.49% เทียบกับสิ้นเดือนกรกฎาคม แต่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย 0.03% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us