“จิมทอมป์สัน”โอดปีนี้หนักหน่วง ปรับแผนลุยขยายตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้า 5 ปีสัดส่วนรายได้ 50% ชูกลยุทธ์ตั้งสำนักงานลุยเอง เผยครึ่งปีแรกรายได้ในประเทศลด 5% ส่วนตลาดส่งออกลดลง 6% ปีนี้ทุ่มงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ด้านธุรกิจร้านอาหารเปิดต่ออีก 3 แห่ง
นายเอริค บู๊ทธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดต่างประเทศ บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าไหมไทยแบรนด์ “จิม ทอมป์สัน” เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของจิมทอมป์สันในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตด้านรายได้เฉลี่ย 10-15% มาโดยตลอด แม้ในช่วงเกิดวิกฤตทางการเงินปี 2540 ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ขณะที่ในช่วง 1-2 ปีนี้ ธุรกิจได้รับผลกระทบหนักมาก เพราะทั้งตลาดในประเทศก็ตกลง จากปัจจัยลบหลายอย่าง ส่วนตลาดต่างประเทศก็ตกลงด้วยจากปัจจัยรอบนอกเช่น ค่าเงินบาท
อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินงานระยะยาว 5 ปีจากนี้ไป บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นกว่าเดิมเพราะมองในระยะยาวมากกว่าจะมองเพียงผลกระทบระยะสั้นนี้ โดยวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้ต่างประเทศไว้ที่ 50% และในประเทศ 50% จากเดิมที่สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะมีเพียง 13% เท่านั้น อีกทั้งในตลาดต่างประเทศจะมีมาร์จิ้นที่สูงกว่าในไทยด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อเร็วๆนี้บริษัทฯได้ปรับราคาผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 10%
ทั้งนี้รายได้ของจิมทอมป์สันเมื่อปีที่แล้วมีประมาณ 2,604 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ออกเป็นดังนี้ 1.ช่องทางรีเทล ซึ่งเป็นช่องทางขายปลีกในไทย 55%, 2.สโตร์เอาท์เลท 19%, 3.ต่างประเทศ 13%, 4.ผ้าตกแต่งบ้าน 9%, 5.จุดขายที่ไบเทค 3% และ 6. ร้านอาหารและอื่นๆ 1%
สาเหตุที่หันมามุ่งเน้นตลาดต่างประเทศมากขึ้นเนื่องจากว่าปัจจุบันค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น อีกทั้งตลาดในต่างประเทศก็มีศักยภาพที่ยังจะขยายได้อีกมาก โดยเฉพาะตลาดยุโรป อเมริกา เยอรมัน สเปน ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นตลาดที่บริษัทฯทำตลาดอยู่แล้วเพียงแต่จะขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น
ซึ่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ได้นำผลิตภัณฑ์เพื่อออกงานแสดงสินค้าระดับโลกที่ งานเมซองเอออบเจคที่ปารีส เพื่อให้ตลาดได้รู้จักแบรนด์จิมทอมป์สันมากขึ้น
โดยมีแนวคิดที่จะจัดตั้งบริษัทในเครือขึ้นมาดูแลรับผิดชอบเอง จากเดิมที่จะทำตลาดผ่านดิสทริบิวเตอร์เท่านั้น ล่าสุดได้ก่อตั้งบริษัท จิมทอมป์สันยุโรป ที่ประเทศเยอรมัน เพื่อรับผิดชอบในตลาดยุโรปทั้งหมด คาดว่าปีนี้จะมีรายได้ประมาณ 25 ล้านบาท และบริษัทจิมทอมป์สันฟรานซ์ที่ฝรั่งเศส เพื่อดูตลาดส่งออกเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นทั่วโลก คาดว่าปีนี้จะมีรายได้ 5 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าปีนี้จะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งแบ่งใช้ไปในครึ่งปีแรกแล้ว 1 ใน 3 หรือกว่า 30 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมนี้ ยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาทางเศรษฐกิจและความวุ่นวายทางการเมืองตลอดจนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องระดับหนึ่ง รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยตลอดจนนักลงทุนจากต่างประเทศอันเป็นกลุ่มเป้าหมายของบริษัทฯลดลงด้วย ซึ่งลูกค้ากว่า 90% ในไทยเป็นคนต่างชาติ โดยมียอดขายปลีกครึ่งปีแรกประมาณ 744 ล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีประมาณ 783 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกได้ลงทุนเปิดสาขาที่เซ็นทรัลเวิลด์ และการรีโนเวทร้านอาหารในเครือ รวมทั้งการเพิ่มเครื่องจักรใหม่ๆบางส่วน
ขณะที่ยอดรายได้จาการส่งออก ครึ่งปีนี้อยู่ที่ 261 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่มี 276 ล้านบาท ซึ่งสินค้าส่งออกของจิมทอมป์สันส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทผาตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์โดยมีตลาดใหญ่คือ อเมริกา สัดส่วน 35% รองลงมาคือยุโรป สัดส่วน 30% และญี่ปุ่น 15% และอื่นๆ ส่งผลให้รายได้รวมครึ่งปีแรกนี้ทำได้ 1,400 ล้านบาท ต่ำกว่าครึ่งปีแรกปีที่แล้วที่ทำได้รวม 1,412 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมทั้งปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 2,500 ล้านบาท ต่ำจากปีที่แล้วที่มีประมาณ 2,604 ล้านบาท หรือตกลงประมาณ 5%
นายเอริค กล่าวต่อในส่วนของธุรกิจร้านอาหารในเครือว่า ปัจจุบันมีหลายแบรนด์ โดยแบ่งเป็น ร้านอาหารในกรุงเทพฯ 3 แบรนด์คือ คาเฟ่ 9, ศาลาแดงคาเฟ่และทอมป์สันบาร์แอนด์เรสเตอรองต์ อ่งละ 1 สาขา ส่วนในต่างประเทศมีร้านมายไทยที่กัวลาลัมเปอร์ (มาเลเชีย) ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจร้านอาหารสามารถทำรายได้ประมาณ 50 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 1% ของรายได้รวม ซึ่งยังน้อยอยู่มากแต่ก็เป็นธุรกิจที่มีอนาคตดี แผนในการขยายธุรกิจร้านอาหารปีนี้ เตรียมที่จะเปิดร้านอาหารที่ห้างอิเซตันในไทย 1 แห่ง, ในญี่ปุ่นปลายเดือนนี้ 1 แห่ง, และที่สิงคโปร์อีก 1 แห่ง
|