บริษัทอสังหาฯเริ่มเคลื่อนไหวเปิดแผนลงทุนโครงการใหม่ปี 2551 หลังสถานการณ์การเมือง และเลือกตั้งชัดเจน ค่ายคิวเฮ้าส์ในเครือแลนด์ฯ ปูพรม 13 โครงการ มูลค่าขาย 21,000 ล้านบาท กว่า 3,000 ยูนิต ดันแบรนด์คาซ่าขยายตลาดประมาณ 8-9 โครงการ ส่วนคอนโดฯ 2 โครงการ คาดเปิดขายตั้งแต่ปลายปี 2551 ด้านปริญสิริฯ วางเป้าปีหน้าทั้งตลาดบ้านและคอนโดฯ 9-10 โครงการ พร้อมวางตำแหน่งพัฒนาคอนโดฯ 3 กลุ่ม ชิมลางราคาถูก 6-8 แสนบาทต่อยูนิต
จากปัจจัยความชัดเจนทางการเมือง ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมากการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ที่พึ่งผ่านพ้นไป และการส่งสัญญาณจากรัฐบาลที่จะจัดมีการเลือกตั้งภายในเดือนธ.ค.นี้ เริ่มเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ความเชื่อมั่นของลูกค้าจะเกี่ยวโยงกับแนวโน้มของเศรษฐกิจ อาจจะทำให้ผู้ที่คิดจะซื้อบ้านกล้าตัดสินใจในการก่อหนี้ระยะยาว
แต่สำหรับบริษัทอสังหาฯ เริ่มมีการเคลื่อนไหวเพื่อรับการเติบโตของตลาดอสังหาฯในระยะข้างหน้า โดยล่าสุด ยักษ์ใหญ่ที่พัฒนาโครงการบ้านหรูอย่างบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH ในเครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ ได้ประกาศลงทุนโครงการใหม่ในปี 2551
นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ฯ หรือ QH เปิดเผยว่า ในครึ่งหลังของปี 2550 บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 7 ,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ ที่เปิดตัวไปแล้วในไตรมาส 3 จำนวน 2 โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยวที่เตรียมจะเปิดตัวในปลายปีนี้อีก 3 โครงการ ทั้งนี้คาดว่าในปีนี้บริษัทฯจะมีรายได้ทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายบ้าน 87% และรายได้จากธุรกิจให้เช่า 13 %
นอกจากนี้ ในปี 2551 บริษัทฯมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 13 โครงการ หรือกว่า 3,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 21,000 ล้านบาท แยกเป็นแบรนด์คิวเฮ้าส์ประมาณ 4-5 โครงการ และแบรนด์คาซ่าซิตี้ (ทาวน์เฮาส์ )2 โครงการและคาซ่า วิลล์ (บ้านเดี่ยว) ประมาณ 6-7 โครงการ
ในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมนั้น อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมแผน ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาในเบื้องต้น 2 โครงการ ได้แก่ Q House คอนโด สาทร จำนวน 530 ยูนิต คาดเปิดขายปลายปี 2551 และโครงการคาซ่า คอนโด ท่าพระ ประมาณ 238 ยูนิต คาดเปิดขายภายในปี 2552
" โครงการในปี 2551 ส่วนใหญ่จะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว ส่วนโครงการทาวน์เฮาส์ มีจำนวน 2 โครงการ และคาดว่าจะมีรายได้จากการขายบ้านเพิ่มขึ้น 20 % เมื่อเทียบกับปี 2550 "นายรัตน์ กล่าว
อนึ่ง ในไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทมีรายได้ทั้งสิ้น 2,626 ล้านบาท เติบโตกว่า 28 % จากไตรมาสเดียวกันในปี 2549 ที่มีรายได้ 2,051 ล้านบาท ทั้งนี้แบ่งเป็นรายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดิน 2,238 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจให้เช่าพื้นที่และบริการ 284 ล้านบาท และรายได้จากส่วนอื่นๆอีก 104ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 243 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 224 % จาก 75 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 49
ปริญสิริฯลุยโครงการใหม่แนวราบ-สูง
นายนำชัย วนาภานุเบศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน ) กล่าวถึงแผนธุรกิจในปี 51 ว่า แนวทางแรกจะมีการปรับภาพลักษณ์ตราสินค้า (รีแบรนด์) ของบริษัทใหม่ โดยจะใช้งบประมาณ2.5-3% ของรายได้รับรู้ หรือประมาณ 150 ล้านบาทในการรีแบรนด์สินค้า
แนวทางที่สอง ได้กำหนดเป้าหมายของการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มประมาณ 9-10 โครงการ แยกเป็นตลาดโครงการแนวราบ 6 โครงการ และโครงการแนวสูง 3-4โครงการ โดยในส่วนของโครงการแนวสูงนั้น บริษัทได้ซื้อที่ดินเข้ามารอกาพัฒนาโครงการใหม่ทั้งหมดแล้ว จากงบในการซื้อที่ดินสะสมในปีนี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีทีผ่านมา ที่ประมาณการในการซื้อที่ดินสะสมไว้ 1,000 ล้านบาท
สำหรับที่ดินที่ซื้อเข้ามารอพัฒนาโครงการสูงในปี 51 ใน 4ทำเลประกอบด้วย ทำเลย่านปิ่นเกล้า ตรงข้ามเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ทำเลย่านถนนตากสินอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า บีทีเอส 200 เมตร ทำเลย่านจตุจักร ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน 500-600เมตร และทำเลเลียบถนนพระราม 2
" ตำแหน่งของสินค้าคอนโดมิเนียม จะถูกโฟกัสให้ตรงกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน คือ หากเป็นพระราม 2 บริษัทจะเริ่มพัฒนาคอนโดฯในลักษณะโลว์ไรส์ราคาถูกประมาณ 6-8 แสนบาทต่อยูนิตออกสู่ตลาด ขณะที่โครงการโซนปิ่นเกล้า ตากสินและจตุจักร จะเป็นโครงการแนวสูงทั้งหมด แต่ละโครงการจะมีมูลค่า1,000 ล้านบาท แต่หากเป็นโครงการแนวสูง 3 โครงการดังกล่าวจะมีมูลค่าขายรวมประมาณ 5,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า แต่ละโปรดักส์ของคอนโดฯ เน้นกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะ ตลาดคอนโดฯราคาถูก คอนโดฯเจาะแนวรถไฟฟ้าและโครงการที่เจาะลูกค้าในย่านชุมชน ซึ่งจะมีรูปแบบเดียวกับโครงการของบริษัท แอล.พี.เอ็น. ที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าชุมชนหนาแน่น"นายนำชัย กล่าว และชี้ให้เห็นว่า
เป้ายอดรับรู้รายได้ในปีหน้าจะประมาณ 4,000 กว่าล้านบาท หรือมียอดขาย 6,000-6,500 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับปี 2550 อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอัตรากำไรเบื้องต้นและยอดรายได้รับรู้ของบริษัทในปี 51 จะขยับตัวสูงกว่าในปีนี้ คาดว่าอัตรากำไรเบื้องต้นจะไม่ต่ำกว่า 30-35% เพราะมีสัดส่วนรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดฯเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันยอดรับรู้รายได้จากบ้านเดี่ยวจะมีสัดส่วนลดลง เนื่องจากในปี 51 คาดว่าตลาดบ้านเดี่ยวระดับ 3-5 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์มีการแข่งขันที่สูงอยู่ โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวระดับ 3-5 ล้านบาท ขณะที่อัตราการแข่งขันของคอนโดฯแม้จะสูง แต่พบว่าความต้องการมีอยู่ต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนทางด้านการตลาดค่อนข้างต่ำ
|