|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นักวิเคราะห์ เผย หุ้นกลุ่มอสังหาฯครึ่งปีหลังน่าลงทุน เหตุ ปัจจัยการเมือง-เศรษฐกิจปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นกระต้นกำลังซื้อผู้บริโภคหลังชะลอตัวในครึ่งปีแรก รวมถึงราคาหุ้นส่วนใหญ่ลดกว่ามูลค่าพื้นฐานแล้ว บล.นครหลวงไทย" เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ชูธงกลุ่มบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ แนะซื้อ เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้-พฤกษา-ศุภาลัย
นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี ผู้จัดการส่วนวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลังกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น เนื่องมาจากแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่น่าจะปรับตัวขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ที่ผู้บริโภคมีการชะลอการบริโภคอย่างชัดเจน ประกอบกับขณะนี้ราคาหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ มีราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมแล้ว หลังจากที่ราคาปรับตัวลดลงมาตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์จากความวิตกเกี่ยวกับปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือ ซับไพรม์ ของสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยบริษัทต่างๆ มีการวางแผนที่จะเปิดตัวโครงการเพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายปี และแนวโน้มสถานการณ์การเมืองที่คลี่คลายมากขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงต่อเนื่อง ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่จะเข้ามากระตุ้นให้มีแรงซื้อของประชาชนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรเลือกหุ้นที่มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง และพิจารณาทิศทางของตลาดประกอบการลงทุนไปด้วย
บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย ระบุว่า บริษัทปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จาก “Neutral”เป็น “Bullish” เพราะคาดว่าทิศทางเศรษฐกิจจะเติบโตดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากปัจจัยบวกเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่น่าจะดีขึ้น หลังจากที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองและการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปลายปีจะเป็นปัจจัยหลักที่จะผลักดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นและเกิดการบริโภคที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันต่อเนื่องของทางภาครัฐ ส่งผลให้ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (MLR) ในช่วงครึ่งปีหลังจะทรงตัวที่ระดับ 6.75 – 7% โดยคาดว่าจะเป็นระดับที่ต่ำที่สุดใน 6 – 9 เดือนข้างหน้าซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผู้บริโภคบางส่วนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นและสามารถช่วยแบ่งเบาภาระการผ่อนของผู้บริโภคได้แล้วยังช่วยผู้ประกอบการลดอัตราการกู้ไม่ผ่าน (Reject Rate) ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวทำให้เชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคทำการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ทั้งนี้คาดว่ากลุ่มที่น่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดในช่วงครึ่งปีหลังคือที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ที่มีราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย เนื่องจากการสำรวจความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่พบว่าอุปสงค์เกือบ 80% ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต โดยคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่อุปสงค์ของโครงการประเภทคอนโดมิเนียมได้ถูกดูดซับไปในช่วงครึ่งปีแรกจำนวนมากแล้ว
ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ” บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP โดยให้มูลค่าเหมาะสมที่ 8.4 บาท , บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS ที่มูลค่าเหมาะสม 10.20 บาท และ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI โดยมีราคาที่เหมาะสมเท่ากับ 5.45บาทต่อหุ้น
|
|
|
|
|