ความมั่นใจว่าสงครามจะไม่ยืดเยื้อ ผสมผสานกับอัตราดอกเบี้ยต่ำ บริษัทเริ่มแสดงผลงานที่น่าพอใจ
และเริ่มจ่ายเงินปันผลเป็นเหตุผลเพียงพอที่ตลาดหุ้นไทยถูกจับตามอง
ทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับความนิยมสูงแห่งหนึ่งในเอเชีย-แปซิฟิก
นับตั้งแต่เริ่มศักราชใหม่ ปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญหนีไม่พ้นความเชื่อมั่นว่าสงครามจะยุติลงอย่างรวดเร็ว
ส่งผลให้มีการโยกเงินเข้าตลาดหุ้นไทย ทั้งจากต่างประเทศและการโยกเงินจากตลาดตราสารหนี้และฐานเงินฝากระบบธนาคารพาณิชย์
"แนวโน้มตลาดหุ้นขึ้นอยู่กับผลที่ตามมาของสงครามระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรกับอิรัก"
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บล.เมอร์ริล ลินช์ ภัทร ชี้ "พวกเรามองโลกในแง่ดีว่าสงครามจะจบลงอย่างรวดเร็ว
และอเมริกาเข้าไปดูแล ฟื้นฟูอิรักได้ภายใน 2 ปี เศรษฐกิจโลกเติบโตเป็นไปตามคาด
และราคาน้ำมันลดต่ำลงเหลือ 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล"
สอดคล้องกับที่ทีมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ตั้งคำถามว่าภาวะสงครามกับกระทิงรอบใหม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้
เนื่องจากปัจจัยชี้นำหลักๆ แสดง ออกมาอย่างชัดเจนแล้ว อาทิ การส่งออกสูงขึ้น
การขาดดุลการค้าลดลง ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลง ดุลบัญชีชำระเงินเกินดุลสูงขึ้น
และเงินสำรองเงินตราต่างประเทศนอกประเทศสูงขึ้น
"สังเกตได้ว่ารายได้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพิ่มสูงขึ้น กำไรต่อหุ้นสูงขึ้น
ราคาหุ้นบนกระดานวิ่งขึ้น และมูลค่าตลาดรวมปรับเพิ่มขึ้นมาก" นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานบล.ทรีนีตี้กล่าว
นอกเหนือจากนี้ หากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยในประเทศพบว่าถูกปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์
จนต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดหุ้นที่สูงถึง 3.7% และก่อนสิ้นไตรมาสแรกของปีบริษัท
1 ใน 3 ในตลาดหุ้นประกาศจ่ายเงินปันผลจากกำไร ปี 2545 แล้ว
โดยมีหุ้นให้เงินปันผลสูงกว่า 6% หรือกว่า 4 เท่าของเงินฝากประจำ 3 เดือน
ของระบบธนาคารพาณิชย์ กว่า 60 บริษัท ในจำนวนนี้มีถึง 26 บริษัทที่จ่ายเงินปันผล
ให้กับผู้ถือหุ้นสูงกว่า 8%
ตั้งแต่สงครามปะทุขึ้นนักลงทุนต่างประเทศชะลอการลงทุน ส่งผลให้ปริมาณซื้อขายโดยรวมเฉลี่ยลดลงเหลือ
6.5 พันล้านบาทต่อวัน จากที่ก่อนสงคราม จะเริ่มที่ซื้อขายประมาณ 7.5 พันล้านบาทต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ดร.ศุภวุฒิเล่าว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุนที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้
"บรรดากองทุนต่างประเทศยังจัดพอร์ตลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 3%-5% และ MSCI
ให้น้ำหนัก 0.85% สำหรับการลงทุนในตลาดบ้านเรา"
เช่นเดียวกับทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เชื่อมั่นว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศที่หายไปในช่วงครึ่งปีหลังในปีที่ผ่านมาจะกลับเข้ามา
เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในการลงทุนเพิ่มสูงขึ้น จากช่วงที่ผ่านมาหันไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้
"ความกังวลในสงครามที่เกิดขึ้นในครึ่งปีหลังปีที่แล้ว ส่งผลให้นักลงทุนไม่กล้าลงทุนในตลาดที่มีความเสี่ยงสูงและตลาดเกิดใหม่
แต่เมื่อทุกอย่างมีความชัดเจนนักลงทุนต่างชาติเริ่มเข้าสู่ตลาดที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
และตลาดไทยก็เป็นเป้าหมายสำคัญ อีกทั้งราคาหุ้นถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ"
คำถามคือ หุ้นกลุ่มใดน่าสนใจมากที่สุดในปัจจุบัน บรรดาผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นไทยยังคงให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มหลักๆ
และมีสภาพคล่องสามารถซื้อขายได้ทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยจุฑามาศ จารุวัตร
ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ให้ความสนใจกลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
เนื่อง จากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์มีแนวโน้มขยายตัวอย่างน้อย 10% ในปีนี้
"สัญญาณความต้องการปูนซีเมนต์เริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมาเพราะมีการขยายตัว
20.9% และปริมาณการผลิตสูงสุด ในรอบปี นับแต่ปี 2541 เป็นต้นมา" เธอบอก "หุ้น
SCC น่าสนใจที่สุดในกลุ่มนี้"
ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือ เป็นหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรได้มากกว่าคู่แข่งขัน
ประกอบกับเป็นผู้นำในธุรกิจที่สำคัญ อาทิ ปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง ปิโตร
เคมี และกระดาษที่มีความต้องการใช้ในประเทศสูงและยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
"ปีนี้คาดว่ายอดขายรวมของ SCC เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 8% และกำไร
จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 23.70%" สุรชัย ประมวลเจริญกิจ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์
บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมิน
สำหรับกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ควรลงทุนได้ก็ต่อเมื่อสงครามยืดเยื้อ ราคา
น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หรือกำลังการผลิตสินค้าปิโตรเคมีขาดแคลน กระนั้นก็ดีในฐานะเป็นหุ้นที่เรียกว่า
Defensive Stock มีกำไรสม่ำเสมอ และจ่ายเงินปันผลดีทำให้ ได้รับความนิยมจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
"เป็น Cyclical Stock และรายได้ กำไรหวือหวาขึ้นอยู่กับราคาสินค้า ความต้องการและกำลังการผลิต
ซึ่งถูกกำหนดโดยตลาดโลก คาดว่าปีนี้ธุรกิจจะฟื้นตัว ทำให้ผลประกอบการเพิ่มสูงขึ้น
และในปีหน้าและปีถัดไปความต้องการมากกว่ากำลังการผลิต" วชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลป
ชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ทรีนีตี้อธิบาย "ความตื่นเต้นในหุ้นกลุ่มนี้อยู่ที่โรงไฟฟ้าราชบุรีจะซื้อโรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้จากบ้านปู
และ ปตท. จะซื้อ ปตท.สผ."
ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็น กลุ่มที่ได้รับความนิยมที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
ซึ่งช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินและระบายสภาพคล่องส่วนเกิน ของธนาคาร อีกทั้งลูกค้ารายย่อยทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น
และการที่ธนาคารขนาดใหญ่เสร็จสิ้นภาระการตั้งสำรองเชิงรุกแล้วในปีที่ผ่านมา
โดยหทัยพร จิรจริยเวช และปีย์วรา ธาราศักดิ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.
เคจีไอ (ประเทศไทย) บอกว่าสินเชื่อธนาคารเติบโต 4% นำโดยธนาคารกรุงไทย เพื่อสนองนโยบายรัฐ
ส่วนธนาคารขนาดใหญ่คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัว 2%-3% ส่วนขนาดเล็กอยู่ที่ระดับ
7%
"สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคจะเติบโตอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อจะขยายตัว
10%-15% ตามยอดขายรถยนต์ ดังนั้นพวกเราจึงให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด
เช่น BBL, TFB, SCB และ KTC"
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ในปัจจุบันยังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร
เนื่องจากอัตราการเติบโตของธุรกิจลิสซิ่งเติบโตลดลงจาก 35% ในปีที่ผ่านมาเหลือเพียง
15% ในปีนี้ ส่งผลให้การเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวต้องระมัดระวังมากขึ้น
"ภาวะการลงทุนในตลาดยังมีความ ผันผวนจากสงคราม มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้มีแนวโน้มซบเซา
และกำไรจากพอร์ตการลงทุนลดลง" ชาลี กือเย็น ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ทรีนีตี้บอก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในทิศทางที่สดใส แต่มีความเสี่ยงหากสงครามยืดเยื้อ
รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวน การบริโภคปรับลดลง หนี้เสียขยับตัวสูงขึ้น
และค่าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่หุ้นไม่มีคุณภาพตามมาตรฐานของนักลงทุน
สถาบันต่างประเทศ
"ปัจจุบันมีหุ้นเพียง 10-20 บริษัทเท่านั้นที่ถือโดยกองทุน" ดร.ศุภวุฒิชี้
"พวกเขาตัดสินใจลงทุนในบริษัทเหล่านั้นจากความแข็งแกร่งของฐานเงินทุน ผลประกอบการ
และความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ"