Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2546








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2546
หุ้นกับสงคราม             
โดย ฐิติเมธ โภคชัย
 





ความมั่นใจว่าสงครามจะไม่ยืดเยื้อ ผสมผสานกับอัตราดอกเบี้ยต่ำ บริษัทเริ่มแสดงผลงานที่น่าพอใจ และเริ่มจ่ายเงินปันผลเป็นเหตุผลเพียงพอที่ตลาดหุ้นไทยถูกจับตามอง

ทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับความนิยมสูงแห่งหนึ่งในเอเชีย-แปซิฟิก นับตั้งแต่เริ่มศักราชใหม่ ปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญหนีไม่พ้นความเชื่อมั่นว่าสงครามจะยุติลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการโยกเงินเข้าตลาดหุ้นไทย ทั้งจากต่างประเทศและการโยกเงินจากตลาดตราสารหนี้และฐานเงินฝากระบบธนาคารพาณิชย์

"แนวโน้มตลาดหุ้นขึ้นอยู่กับผลที่ตามมาของสงครามระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรกับอิรัก" ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บล.เมอร์ริล ลินช์ ภัทร ชี้ "พวกเรามองโลกในแง่ดีว่าสงครามจะจบลงอย่างรวดเร็ว และอเมริกาเข้าไปดูแล ฟื้นฟูอิรักได้ภายใน 2 ปี เศรษฐกิจโลกเติบโตเป็นไปตามคาด และราคาน้ำมันลดต่ำลงเหลือ 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล"

สอดคล้องกับที่ทีมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ตั้งคำถามว่าภาวะสงครามกับกระทิงรอบใหม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เนื่องจากปัจจัยชี้นำหลักๆ แสดง ออกมาอย่างชัดเจนแล้ว อาทิ การส่งออกสูงขึ้น การขาดดุลการค้าลดลง ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลง ดุลบัญชีชำระเงินเกินดุลสูงขึ้น และเงินสำรองเงินตราต่างประเทศนอกประเทศสูงขึ้น

"สังเกตได้ว่ารายได้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพิ่มสูงขึ้น กำไรต่อหุ้นสูงขึ้น ราคาหุ้นบนกระดานวิ่งขึ้น และมูลค่าตลาดรวมปรับเพิ่มขึ้นมาก" นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานบล.ทรีนีตี้กล่าว

นอกเหนือจากนี้ หากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยในประเทศพบว่าถูกปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ จนต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดหุ้นที่สูงถึง 3.7% และก่อนสิ้นไตรมาสแรกของปีบริษัท 1 ใน 3 ในตลาดหุ้นประกาศจ่ายเงินปันผลจากกำไร ปี 2545 แล้ว

โดยมีหุ้นให้เงินปันผลสูงกว่า 6% หรือกว่า 4 เท่าของเงินฝากประจำ 3 เดือน ของระบบธนาคารพาณิชย์ กว่า 60 บริษัท ในจำนวนนี้มีถึง 26 บริษัทที่จ่ายเงินปันผล ให้กับผู้ถือหุ้นสูงกว่า 8%


ตั้งแต่สงครามปะทุขึ้นนักลงทุนต่างประเทศชะลอการลงทุน ส่งผลให้ปริมาณซื้อขายโดยรวมเฉลี่ยลดลงเหลือ 6.5 พันล้านบาทต่อวัน จากที่ก่อนสงคราม จะเริ่มที่ซื้อขายประมาณ 7.5 พันล้านบาทต่อวัน อย่างไรก็ตาม ดร.ศุภวุฒิเล่าว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุนที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้

"บรรดากองทุนต่างประเทศยังจัดพอร์ตลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 3%-5% และ MSCI ให้น้ำหนัก 0.85% สำหรับการลงทุนในตลาดบ้านเรา"

เช่นเดียวกับทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เชื่อมั่นว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศที่หายไปในช่วงครึ่งปีหลังในปีที่ผ่านมาจะกลับเข้ามา เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในการลงทุนเพิ่มสูงขึ้น จากช่วงที่ผ่านมาหันไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้

"ความกังวลในสงครามที่เกิดขึ้นในครึ่งปีหลังปีที่แล้ว ส่งผลให้นักลงทุนไม่กล้าลงทุนในตลาดที่มีความเสี่ยงสูงและตลาดเกิดใหม่ แต่เมื่อทุกอย่างมีความชัดเจนนักลงทุนต่างชาติเริ่มเข้าสู่ตลาดที่มีความเสี่ยงมากขึ้น และตลาดไทยก็เป็นเป้าหมายสำคัญ อีกทั้งราคาหุ้นถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ"

คำถามคือ หุ้นกลุ่มใดน่าสนใจมากที่สุดในปัจจุบัน บรรดาผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นไทยยังคงให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มหลักๆ และมีสภาพคล่องสามารถซื้อขายได้ทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยจุฑามาศ จารุวัตร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ให้ความสนใจกลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เนื่อง จากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์มีแนวโน้มขยายตัวอย่างน้อย 10% ในปีนี้

"สัญญาณความต้องการปูนซีเมนต์เริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมาเพราะมีการขยายตัว 20.9% และปริมาณการผลิตสูงสุด ในรอบปี นับแต่ปี 2541 เป็นต้นมา" เธอบอก "หุ้น SCC น่าสนใจที่สุดในกลุ่มนี้"

ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือ เป็นหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรได้มากกว่าคู่แข่งขัน ประกอบกับเป็นผู้นำในธุรกิจที่สำคัญ อาทิ ปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง ปิโตร เคมี และกระดาษที่มีความต้องการใช้ในประเทศสูงและยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

"ปีนี้คาดว่ายอดขายรวมของ SCC เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 8% และกำไร จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 23.70%" สุรชัย ประมวลเจริญกิจ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมิน

สำหรับกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ควรลงทุนได้ก็ต่อเมื่อสงครามยืดเยื้อ ราคา น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หรือกำลังการผลิตสินค้าปิโตรเคมีขาดแคลน กระนั้นก็ดีในฐานะเป็นหุ้นที่เรียกว่า Defensive Stock มีกำไรสม่ำเสมอ และจ่ายเงินปันผลดีทำให้ ได้รับความนิยมจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

"เป็น Cyclical Stock และรายได้ กำไรหวือหวาขึ้นอยู่กับราคาสินค้า ความต้องการและกำลังการผลิต ซึ่งถูกกำหนดโดยตลาดโลก คาดว่าปีนี้ธุรกิจจะฟื้นตัว ทำให้ผลประกอบการเพิ่มสูงขึ้น และในปีหน้าและปีถัดไปความต้องการมากกว่ากำลังการผลิต" วชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลป ชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ทรีนีตี้อธิบาย "ความตื่นเต้นในหุ้นกลุ่มนี้อยู่ที่โรงไฟฟ้าราชบุรีจะซื้อโรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้จากบ้านปู และ ปตท. จะซื้อ ปตท.สผ."

ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็น กลุ่มที่ได้รับความนิยมที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินและระบายสภาพคล่องส่วนเกิน ของธนาคาร อีกทั้งลูกค้ารายย่อยทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น และการที่ธนาคารขนาดใหญ่เสร็จสิ้นภาระการตั้งสำรองเชิงรุกแล้วในปีที่ผ่านมา

โดยหทัยพร จิรจริยเวช และปีย์วรา ธาราศักดิ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) บอกว่าสินเชื่อธนาคารเติบโต 4% นำโดยธนาคารกรุงไทย เพื่อสนองนโยบายรัฐ ส่วนธนาคารขนาดใหญ่คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัว 2%-3% ส่วนขนาดเล็กอยู่ที่ระดับ 7%

"สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคจะเติบโตอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อจะขยายตัว 10%-15% ตามยอดขายรถยนต์ ดังนั้นพวกเราจึงให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด เช่น BBL, TFB, SCB และ KTC"

ขณะที่ภาพรวมธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ในปัจจุบันยังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร เนื่องจากอัตราการเติบโตของธุรกิจลิสซิ่งเติบโตลดลงจาก 35% ในปีที่ผ่านมาเหลือเพียง 15% ในปีนี้ ส่งผลให้การเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวต้องระมัดระวังมากขึ้น

"ภาวะการลงทุนในตลาดยังมีความ ผันผวนจากสงคราม มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้มีแนวโน้มซบเซา และกำไรจากพอร์ตการลงทุนลดลง" ชาลี กือเย็น ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ทรีนีตี้บอก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในทิศทางที่สดใส แต่มีความเสี่ยงหากสงครามยืดเยื้อ รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวน การบริโภคปรับลดลง หนี้เสียขยับตัวสูงขึ้น และค่าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่หุ้นไม่มีคุณภาพตามมาตรฐานของนักลงทุน สถาบันต่างประเทศ

"ปัจจุบันมีหุ้นเพียง 10-20 บริษัทเท่านั้นที่ถือโดยกองทุน" ดร.ศุภวุฒิชี้ "พวกเขาตัดสินใจลงทุนในบริษัทเหล่านั้นจากความแข็งแกร่งของฐานเงินทุน ผลประกอบการ และความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us