นายพัลลภ ไทยอารี กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอวิส เรนท์ อะ คาร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจรถเช่า เพื่อการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า จากสถานการณ์วุ่นวายทางการเมืองของประเทศไทย ที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดจำนวนลงนั้น ได้มีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทเช่นกัน โดย 6 เดือนแรกที่ผ่านมา(ม.ค.-มิ.ย.) รายได้ลดลงประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตลาดที่ลดมากคือนักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกา ซึ่งถือเป็นลูกค้าหลักของบริษัท โดยสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ 60% มาจากตลาดยุโรป ,15% จากออสเตรเลีย และ 12% มาจากอเมริกา ส่วนตลาดเอเชียมีสัดส่วนที่ 12%

ทั้งนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัท จะเป็นกลุ่มครอบครัวและนักธุรกิจ ที่เดินทางมาส่วนตัว ขนาดกรุ๊ป 2-4 คน ซึ่งถือเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ ดังนั้น จึงสะท้อนให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวคุณภาพที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยลดลง แต่ที่จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เพราะส่วนใหญ่เป็นกรุ๊ปทัวร์ เพราะล่าสุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ได้แจ้งว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 เดือนแรกรวมทุกด่านมีจำนวน 5.9 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อน 4.28%

สาเหตุที่นักท่องเที่ยวคุณภาพลดลงมาจาก 2-3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศเขา โดยเฉพาะอเมริกา ส่งผลให้ประชากรเดินทางท่องเที่ยวน้อยลง หรือเปลี่ยนมาเดินทางทางเที่ยวในระยะใกล้ทดแทน 2.นักท่องเที่ยวเปลี่ยนเดสติเนชั่น ไปเวียดนาม มาเลเซีย และ จีน เป็นต้น เพราะบางรายอาจมาประเทศไทยบ่อยแล้ว ประกอบกับประเทศเหล่านั้นเขาทุ่มเรื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์มาก โดยเฉพาะมาเลเซีย และ 3.ปัญหาความไม่สงบในประเทศ ภาพการชุมนุม การก่อการร้าย เพราะนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ เขาจะคำนึงเรื่องความปลอดภัยมากเป็นพิเศษ

ล่าสุดบริษัทได้ปรับการทำงาน โดยเพิ่มความถี่การโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกเท่าตัว โดยผ่านเครือข่ายซึ่งกระจายอยู่ 130 ประเทศทั่วโลก เน้นเรื่องการให้ขอมูลข่าวสารของประเทศไทย ความปลอดภัยและข้อมูลด้านการท่องเที่ยว ตอกย้ำให้นักท่องเที่ยวและลูกค้าเป้าหมายเกิดความมั่นใจ นอกจากนั้นยังจัดโปรโมชันร่วมกับสายการบินไทยและสายการบินอื่นๆ ในรูปแบบแพกเกจตั๋วเครื่องบินและรถเช่า

นอกจากนั้น ยังหันมาจับตลาดคนไทยเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง โดยที่ผ่านมาได้ทำแคมเปญบินไปบินกลับขับรถเที่ยว โดยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พร้อมกับเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ว่า รถเช่า เอวิสไม่ได้มีราคาแพงอย่างที่คิด โดยเริ่มต้นที่วันละ 699-4,000 บาท จึงทำให้บริษัทขยายตลาดคนไทยได้เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น การเปิดเส้นทางบินของสายการบินต้นทุนต่ำ(โลว์คอสต์) ก็มีส่วนช่วยขยายธุรกิจรถเช่าให้เติบโต

ปัจจุบัน สัดส่วนลูกค้าคนไทยเพิ่มเป็น 60% แบ่งเป็นกลุ่มครอบครัว 60% นักธุรกิจ 40% ส่วนตลาดต่างชาติสัดส่วนที่ 40% จาก 2-3 ปีก่อนสัดส่วนตลาดคนไทยจะอยู่ที่ 30% ต่างชาติ 70% บริษัทมีรายได้รวมในปี 2549 ประมาณ 250 ล้านบาท โดยทุกปีจะเติบโตเฉลี่ย 10% แต่ปีนี้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจกระทบผลประกอบการให้เติบโตเพียง 5% โดยหวังว่าครึ่งปีหลังตลาดน่าจะดีขึ้นจากแผนโปรโมตประเทศไทยของททท.

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าภายหลังการเลือกตั้งการเมืองและเศรษบกิจจะมีความชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและนักท่องเที่ยว โดยปลายปีนี้บริษัทมีแผนซื้อรถยนต์เพิ่มอีก 300 คัน คิดเป็นมูลค่า 200 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ 60-80% ที่เหลือเป็นเงินหมุนเวียนในองค์กร ปัจจุบัน บริษัทมีรถให้บริการอยู่ 1,200 คัน มีจุดบริการตามสนามบินทั่วประเทศแต่ตามหัวเมืองใหญ่