Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน20 สิงหาคม 2550
2สัปดาห์หุ้นไทยวูบล้านล้านพิษซับไพรม์ถล่ม-ปตท.อ่วม             
 


   
search resources

Stock Exchange




ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยปี 50 จากช่วงปลายปีที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องกันสำรอง 30% ของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงถึง 108 จุด แม้ภายหลังจะผ่อนปรนให้กับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แต่ผลกระทบในเรื่องดังกล่าวสร้างความเสียหายให้แก่ระบบเศรษฐกิจที่รุนแรง เนื่องจากไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทได้ โดยเม็ดเงินต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย ยังเป็นการเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์

ทั้งนี้ การซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่ต่อเนื่องยาวนาน จะดูเหมือนเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ได้ว่า ความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติกับตลาดหุ้นไทยจะกลับมาอีกครั้ง แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลาดหุ้นไทยในช่วงไม่ถึง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาจากปัญหาสินเชื่อบ้านของผู้กู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (Subprime loan) ที่เริ่มตีวงกว้างขึ้นกลับส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อตลาดหุ้นไทยอย่างชัดเจน

จากดัชนีสิ้นปี 49 ซึ่งอยู่ที่ 679.84 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ 5.078 ล้านล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมาสู่จุดสูงสุดของปีเมื่อวันที่ 26 ก.ค. โดยดัชนีอยู่ที่ 895.63 จุด ก่อนจะปรับตัวลดลงมาปิดที่ 884.16 จุด เพิ่มขึ้น 204.32 จุด หรือ 30.05% มาร์เกตแคปปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.816 ล้านล้าน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 1.737 ล้านล้านบาท หรือ 34.20% จากช่วงต้นปี

ขณะที่ภายหลังปัญหาซับไพรม์เริ่มปะทุขึ้น (27 ก.ค.) ส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกได้ว่า "ดิ่งเหว" โดยเมื่อเทียบกลับล่าสุด (17 ส.ค.) ซึ่งดัชนีปิดที่ 758.42 จุด โดยดัชนีปรับตัวลดลงจากวันที่ 26 ก.ค. ถึง 125.74 จุด หรือ 14.22% ขณะที่มาร์เกตแคปปรับตัวลดลงแล้วถึง 9.56 แสนล้านบาท

2กลุ่มใหญ่ร่วงระนาว

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถือว่าเป็นเสาหลักของตลาดหุ้นไทยคือ กลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ จากช่วงสิ้นปี 49 มาร์เกตแคปกลุ่มพลังงานทั้งกลุ่มอยู่ที่ 1.431 ล้านล้านบาท หรือ 28.19% ของมาร์เกตแคปตลาดรวม ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ มาร์เกตแคปอยู่ที่ 7.841 แสนล้านบาท หรือ 15.44% ของมาร์เกตแคปตลาดรวม โดยจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติช่วงก่อนเกิดปัญหาซับไพรม์ทำให้ราคาหุ้นของทั้ง2กลุ่มต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยมาร์เกตแคปกลุ่มพลังงานปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.086 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.543 แสนล้านบาท หรือ 45.70% ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.050 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.659 แสนล้านบาท หรือ 33.91%

ทั้งนี้ ภายหลังปัญหาซับไพรม์ปะทุ 2 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นตัวเลือกสำคัญของนักลงทุนต่างชาติ ที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นก็ได้รับผลกระทบที่ชัดเจน โดยมาร์เกตแคปกลุ่มพลังงานเมื่อเทียบกับวันที่สูงสุดของปีปรับตัวลดลง 3.5 แสนล้านบาท หรือ 16.77% ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์มาร์เกตแคปลดลง 1.49 แสนล้านบาท หรือ 14.1%

เครือปตท.เจ็บหนัก

ในส่วนของหุ้นในกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะเครือปตท.ซึ่งประกอบไปด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP, บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP, บมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC, บมจ.ปตท.เคมิคอล หรือ PTTCH และบมจ.ไออาร์พีซี หรือ IRPC จากต้นปีมาร์เกตแคปรวม 6 บริษัทอยู่ที่ 1.289 ล้านล้านบาท ก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่องจนขึ้นไปสูงสุดเมื่อวันที่ 26 ก.ค. อยู่ที่ 1.950 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.604 แสนล้านบาท หรือ 51.2%

ทั้งนี้ ในช่วงที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปรับตัวสูงสุดในรอบปี ราคาหุ้นในเครือปตท.ทุกบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นสถิติสูงสุดในรอบปีโดย PTT ราคาสูงสุดอยู่ที่ 336 บาท, PTTEP ราคาอยู่ที่ 139 บาท, PTTCH ราคาอยู่ที่ 120 บาท, RRC ราคาอยู่ที่ 26.25 บาท, TOP ราคาอยู่ที่ 94.50 บาท และ IRPC ราคาอยู่ที่ 7.55 บาท

อย่างไรก็ตาม มาร์เกตแคป 6 บริษัทในเครือปตท.ล่าสุด (17 ส..) อยู่ที่ 1.598 ล้านล้านบาท โดยลดลงจากเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ถึง3.52 แสนล้านบาท หรือ 18.05%

จี้เพิ่มธุรกิจขนาดใหญ่

แหล่งข่าวจากผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นปัญหามากของตลาดหุ้นไทยที่เพิ่งพิงสัดส่วนมาร์เกตแคปของ 2 กลุ่มอุตสาหกรรมเกือบ 50% ของตลาดหลักทรัพย์ฯ การเข้ามาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติใน 2 กลุ่มแม้ว่าจะส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่เมื่อเวลาที่มีการขายออกมาในช่วงทั้ง 2 กลุ่มก็ส่งผลกระทบที่รุนแรงกว่าที่ควรจะเป็นกับตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีเสียงเรียกร้องจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ฯซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องการหาสินค้าและการเพิ่มจำนวนนักลงทุนโดยตรง เร่งหาธุรกิจอื่นเข้ามาระดมทุนเพื่อเป็นการลดความผันผวนของตลาดหุ้น แต่ด้วยข้อจำกัดของประเทศไทยที่มีบริษัทขนาดใหญ่รวมถึงมีธุรกิจขนาดใหญ่ที่น้อยมากจนเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นยังไม่สามารถที่จะพัฒนาได้อย่างเต็มที่

"เรามีหุ้นใหญ่น้อยมากการขึ้นลงของหุ้นใหญ่แต่ละครั้งมีผลกระทบที่ชัดเจนต่อตลาดหุ้น ในหลายครั้งเราจะเห็นว่าหุ้นใหญ่กลายเป็นเหมือนหุ้นเก็งกำไรขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะช่วงระหว่างวันราคาหุ้นผันผวนหลายเปอร์เซ็นต์   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us