|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
หุ้นไทยยังไม่พ้นวิกฤตเทรดสุดสวิงก่อนปิดรูดอีก 20 จุด หลังโดนกระหน่ำด้วยปัจจัยลบใหม่ทั้งความกังวลการขอแก้ไขบทนิยามของต่างด้าว รวมถึงการปิดกองทุนขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบกับซับไพร์มซึ่งต้องติดตามว่าจะลามไปยังกองทุนอื่นอีกหรือไม่ โดย 9 วันที่ผ่านมาต่างชาติขายแล้ว 2 หมื่นล้านบาท โบรกเกอร์แนะนำปรับพอร์ตรอตลาดหุ้นลดความผันผวน ชี้การวิเคราะห์หุ้นยากขึ้นเหตุการณ์เคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับพื้นฐาน
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (9 ส.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นยังผันผวนอย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงบ่ายมีแรงขายออกมาจากหุ้นขนาดใหญ่ หลังนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างกังวลต่อกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะกรรมาธิการวิสามัญเสนอให้มีการแก้ไขบทนิยามของบุคคลต่างด้าว ที่อาจจะลามไปถึงการควบคุมการบริหารจัดการ จากเดิมที่มีการควบคุมเฉพาะการถือหุ้นและสิทธิออกเสียงเท่านั้น
ขณะที่ปัญหาในเรื่อง "ซับไพร์ม" ล่าสุดทำให้กองทุน 3 กองทุนขาดทุนอย่างหนัก รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับการเดินขบวนอีกครั้งของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 811.83 จุด ลดลง 19.81 จุด หรือ 2.38% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 842.51 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 811.82 จุด มูลค่าการซื้อขาย 21,422.14 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 576.32 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,040.49 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 464.17 ล้านบาท โดยในช่วง 9 ทำการที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิแล้วถึง 19,416.65 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 470.26 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 19,886.91 ล้านบาท
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)หรือ CNS กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากนักลงทุนขายทำกำไรออกมาเนื่องจากที่ดัชนีได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 30 จุด จาก 811 จุด เพิ่มเป็น 840 จุด ประกอบกับข่าวที่กองทุนต่างประเทศ BNP Paribas ประสบปัญหาในการลงทุนสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ออกมาอีกหลังจากที่กระแสข่าวดังกล่าวได้เงียบไปในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นส่งผลกระทบให้ตลาดหุ้นยุโรป ดาวโจนส์ มีการปรับตัวลดลง จากที่นักลงทุนยังไม่มั่นใจจึงมีการเทขายออกมาเพื่อป้องกันความเสี่ยง
นอกจากนี้ กระแสข่าวที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการเข้าไปตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ว่ามีธนาคารใดเข้าไปลงทุนในซับไพรม์ ซึ่งพบว่า มี 4 ธนาคารที่มีการลงทุน แต่ทางธปท.ได้ชี้แจงว่าผลกระทบจากการลงทุนดังกล่าวไม่มากนักเพราะธนาคารพาณิชย์ที่เข้าลงทุนได้มีการตั้งสำรองไว้แล้ว และจากความกังวลในเรื่องนักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นออกมา ส่วนเรื่องการแก้ไขนิยามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ต่างด้าวนั้นมีผลเล็กน้อยต่อการลดลงของดัชนีตลาดหุ้น
"ดัชนีหุ้นวันนี้มีความผันผวนโดยในช่วงเช้าดัชนีฯได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นออกมาจากที่ดัชนีได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ30 จุด และมีกระแสข่าวเกี่ยวกับกองทุนต่างประเทศประสบปัญหาเรื่องซับไพรม์ออกมาเพิ่มอีกจากที่เงียบไป 1-2 วัน ทำให้นักลงทุนมีความกังวลจึงมีการขายหุ้นออกมาเพื่อป้องกันความเสี่ยง"นายชัยกล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะมีการเคลื่อนไหวเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งหากยังมีกระแสข่าวในเรื่องปัญหาซับไพรม์เพิ่มอีกเชื่อว่าจะทำให้ตลาดหุ้นในต่างประเทศมีการปรับตัวลดลง ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยในช่วงนี้บริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการขายทำกำไรออกมาก่อนจากที่ภาวะตลาดหุ้นยังมีความผันผวน โดยมองแนวรับที่ระดับ 800 จุด แนวต้านที่ระดับ 820จุด
ห่วงซับไพร์มลามไม่หยุด
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การคงอัตราดอกเบี้ยของของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตลาดรับข่าวไปตั้งแต่วันอังคาร รวมถึงคำแถลงหลังการประชุมเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐที่คาดว่าจะเติบโตได้ แต่ตราบใดที่สหรัฐยังไม่มีมาตรการรองรับเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดซับไพร์ม เชื่อว่าความกังวลของนักลงทุนยังมีต่อเนื่อง เพราะเริ่มมีความกังวลมากขึ้นว่าจะมีกองทุนหรือสถาบันการเงินอื่นๆ จะประสบปัญหาเช่นเดียวกับ บีเอ็นพี พาริบาร์
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่นักลงทุนยังคงติดตามและให้ความสนใจ คือ การขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่คาดว่าจะยังขายออกมา ประกอบกับการประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรกของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงผลการลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญจะทราบผลในเร็วๆนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งในช่วงปลายปี โดยแนวโน้มวันนี้คาดว่าตลาดจะแกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง
จี้แก้โครงสร้างตลาดหุ้น
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ กล่าวว่า ปัญหาจากโครงสร้างของตลาดหุ้นไทย ที่มาร์เกตแคปส่วนใหญ่ของตลาดเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ทำให้การปรับตัวขึ้นลงค่อนข้างผันผวน โดยปัจจุบันมีปัจจัยลบจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ลดลง และตัวเลขสินเชื่อของธนาคารที่ไม่ดี ทำให้ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นค่อนข้างมากประกอบกับเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากทางทวีปยุโรปที่กำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำให้มีแรงขายเพื่อลดพอร์ตอย่างต่อเนื่อง
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟินันซ่า กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงค่อนข้างรุนแรง ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากความกังวลปัญหาการเมืองในประเทศ หลังจากมีกระแสข่าวว่ากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก.จะเคลื่อนไปชุมนุมหน้ากองทัพบก ซึ่งทำให้วิตกกันว่าอาจจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นทั้งนี้ให้กรอบการแกว่งตัวของดัชนี อยู่ที่ระดับ 810-822 จุด
โบรกฯชี้วิเคราะห์ยาก
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาการวิเคราะห์หุ้นของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยตรงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีมากนักเพราะดัชนีเคลื่อนไหวไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศ ประกอบกับตลาดหุ้นไทยยังยึดติดกับการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก การวิเคราะห์จึงต้องให้น้ำหนักต่อการเข้าออกของเงินทุนซึ่งที่ผ่านมาการไหลเข้ามาออกของเงินทุนเป็นเรื่องที่ประเมินได้ยากมาก
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นค่อนข้างจะปรับตัวลดลงรุนแรงเป็นปฎิกริยาที่รุนแรงกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงเช่นเดียวกับตลาดในยุโรปที่ปรับตัวลงจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับตลาดซับไพร์มในสหรัฐ แต่ตลาดยุโรปก็ไม่ได้ปรับตัวลงมากนัก
"ตลาดหุ้นไทยพยายามหาปัจจัยมาสนับสนุนการขายหุ้น รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ก็เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่ถูกนักลงทุนหยิบยกมาเป็นข้ออ้างในการขายหุ้นออกเท่านั้น" นางสาวปองรัตน์กล่าว
จี้ยกเลิกมาตรการ30%
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอแนะรัฐบาลเกี่ยวกับการดูแลปัญหาค่าเงินบาท โดยระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องเร่งให้มีการผ่อนปรนมาตรการกันสำรอง 30% นอกเหนือจากการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไปยังตลาดอื่นๆด้วย เช่น ตลาดพันธบัตรและกองทุนรวม เพื่อให้เงินทุนได้ไหลเวียนในระบบอื่นๆ ได้
ทั้งนี้ในช่วงเดือน 2-3 เดือนที่ผ่านมามีเงินทุนที่ไหลเข้ามาในประเทศประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาทเนื่องจากความชัดเจนทางการเมืองในประเทศประกอบกับการเตรียมความพร้อมในเรื่องของการเลือกตั้งมีความชัดเจนและมีรูปธรรมมากขึ้น จึงทำให้ต่างชาติมั่นใจและนำเงินเข้ามาลงทุนมากขึ้น
|
|
 |
|
|