|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นรีบาวด์ 17 จุด หลังสัญญาณนักลงทุนสถาบันเริ่มเข้ามาเก็บหุ้นใหญ่รอบใหม่ "หมอบุญ" ห่วงปัญหาการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อกิจการกลายเป็นระเบิดลูกใหม่ หลังผลจากลูกแรกซับไพร์มยังไม่จบ ชี้หากเกิดขึ้นจริงร้ายแรงกว่าลูกแรกเยอะ ด้านโบรกเกอร์เชื่อค่าบาททรงตัวได้ไม่นาน จี้รัฐเร่งยกเลิกมาตรการต่างๆ ชี้หุ้นรีบาวน์แค่ระสั้น ระบุตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงขาลง
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (8 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงเช้าเพราะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน หลังจากก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติส่งสัญญาณขายสุทธิต่อเนื่องมาหลายวันจนส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลงมากถึง 70 จุดในช่วงเวลาเพียง 1 สัปดาห์
โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่จุดสูงสุดของวันที่ 831.64 จุด เพิ่มขึ้น 17.24 จุด หรือ 2.12% โดยจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 816.18 จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,967.22 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 551.36 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 648.74 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 97.38 ล้านบาท
นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ โรงพยาบาลปิยะเวท ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นยังอยู่ในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมบริการที่ยังสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่ความน่าสนใจจะมากหรือน้อยการดูแลในเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการกันสำรอง 30% และมาตรการเกี่ยวกับนอมินี
ส่วนการดูแลเรื่องการแข็งค่าของเงินบาท ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1% เพื่อให้นโยบายต่างๆที่ออกมาก่อนหน้านี้เป็นผลมากที่สุด นอกจากนี้กระทรวงการคลังและธปท.ควรจะเข้ามาดูแลในเรื่องความต่างของค่าเงินบาทตลาดในประเทศ (ออนชอว์) และค่าเงินบาทในตลาดนอกประเทศ (ออฟชอว์) ให้ไม่เกิดส่วนต่างมากอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับปัญหาการปล่อยสินเชื่อเพื่อไปซื้อกิจการ ที่เริ่มมีสัญญาณว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ในอนาคตและอาจจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้อีกครั้ง โดยในปัจจุบันเศรษฐกิจโลกก็กำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อเพื่อไปซื้อกิจการเป็นปัจจัยที่กดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพราะปัจจุบันธนาคารได้ปล่อยกู้เพื่อไปเทกโอเวอร์ แต่มีการขายสินทรัพย์ในราคาที่สูง ขณะที่ผลดำเนินงานไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลให้กองทุนหลายกองทุนเริ่มขาดทุนจากการลงทุน
"การปล่อยสินเชื่อเพื่อไปซื้อกิจการ อาจจะเป็นระเบิดเวลาลูกสองที่กดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยลูกแรกคือเรื่องหนี้เสียของภาคอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา แต่ลูกที่สองหากเกิดขึ้นน่าจะรุนแรงกว่าลูกแรกด้วย เพราะตัวเลขการปล่อยกู้มีตัวเลขสูงถึง 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เรื่องหนี้เสียของอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐมีเพียง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ"น.พ.บุญกล่าว
แนะลงทุนตปท.ลดเสี่ยง
นายแพทย์บุญ กล่าวอีกว่า การเลือกลงทุนในต่างประเทศถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุน แต่นักลงทุนจะต้องพิจารณาจากความเหมาะสมของเงินลงทุนโดยหากมีพอร์ตลงทุนไม่มากการเลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลก็ถือว่าเหมาะสมเพราะมีความเสี่ยงจากการลงทุนน้อย หรือลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่
"การลงทุนในต่างประเทศเป็นทางเลือกในการลงทุน เพราะตลาดหุ้นไทยถือว่าแคบมากประกอบกับตลาดหุ้นในต่างประเทศมีสินค้าให้เลือกมากกว่าในตลาดหุ้นไทยทำให้ความเสี่ยงจากการลงทุนน้อยกว่า และอาจจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าด้วย"นายแพทย์บุญกล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้ากองทุน Sovereign หรือกองทุนของนักลงทุนในแถบเอเชีย และประเทศผู้ค้าน้ำมัน จะมีเงินกองทุนสูงถึง 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนดังกล่าว แต่ความน่าสนใจจะมากหรือน้อยการดูแลในเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองรวมถึงเศรษฐกิจภายในประเทศถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ
จี้แบงก์ชาติยกเลิก30%
นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS กล่าวว่า ในระยะสั้นค่าเงินบาทอาจจะทรงตัวได้ต่อเนื่องเนื่องจากได้รับผลจากนโยบายของรัฐที่ประกาศออกมา รวมถึงมีการชำระเงินกู้ของภาคเอกชนก่อนกำหนดแต่ในระยะยาวมีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นได้อีก เพราะเศรษฐกิจของประเทศยังมีการเติบโตที่ดี การส่งออกยังอยู่ในระดับสูง โดยมีโอกาสที่อาจจะแข็งค่าไปถึงระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐซึ่งไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจมากนักเพราะอยู่ในระดับที่ไม่ต่างจากปัจจุบันมากนัก
"การไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศไม่ถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะหากมีผลต่อค่าเงินมากแบงก์ชาติก็อาจจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เองซึ่งเรื่องดังกล่าวหลายฝ่ายก็อยากให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว"นายญาณศักดิ์กล่าว
เชื่อปรับขึ้นแค่1-2วันเท่านั้น
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังปรับตัวลดลงมาก่อนหน้านี้ 80 จุด ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีการรีบาวด์ขึ้นมา แต่เชื่อว่าจะเป็นปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้น1-2 วันเท่านั้น จากที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยออกมา จากเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัว
"บริษัทเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังเป็นขาลงอยู่ จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัว โดยการที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลง จะต้องจับตาว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นออกมาระรอกที่ 2 ซึ่งหากมีแรงขายออกมาอีกโอกาสที่จะดัชนีจะปรับตัวลดลงได้" นายอดิศักดิ์ กล่าว
|
|
 |
|
|