|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เอ็มดีแบงก์กรุงไทยจับตาหนี้เน่าเริ่มส่งสัญญาณขยับขึ้นหลังภาวะเศรษฐกิจซึมยาว รับมียอดเอ็นพีแอลรีเอ็นทรีเพิ่มกว่า 30% ขณะที่เศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังเป็นขาลง ต้องหันเน้นหารายได้ค่าธรรมเนียมมากขึ้น ตั้งเป้าว่าในสิ้นปีลูกค้ารายย่อยเพิ่มเป็น 2 ล้านราย จากปัจจุบันที่ 1.3 ล้านราย
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ของธนาคารว่าจะเพิ่มขึ้นสูงบ้างเล็กน้อย จากปัจจุบันธนาคารมีเอ็นพีแอลก่อนหักสำรองอยู่ที่ 10% และมีเอ็นพีแอลสุทธิอยู่ที่ 7% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ได้เริ่มส่งผลต่อผู้ประกอบการและต่อเนื่องมาการชำระหนี้ธนาคารด้วย
นอกจากนี้ ยังมีส่วนของเอ็นพีแอลย้อนกลับหรือหนี้ที่ปรับเป็นหนี้ปกติแล้วกลับมาเป็นเอ็นพีแอลอีกถึงกว่า 30% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคารมากนักเนื่องจากได้มีการติดตามสถานการณ์ของลูกหนี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงได้ทำการตั้งสำรองเผื่อไปจนถึงสิ้นปีแล้ว
"ถ้าจะดูถึงตัวเลขเอ็นพีแอลรีเอ็นทรีที่เพิ่มมากว่า 30% นั้น ถือว่าเยอะมาก ซึ่งก็มาจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้กลุ่มที่อ่อนแออยู่แล้วก็จะไปก่อน และอัตราที่เกิดขึ้นในปีนี้มากกว่าปีก่อน โดยเศรษฐกิจปีก่อนจะลงเล็กน้อยแต่ก็ไม่เกิดอาการ เพราะคนปรับตัวได้ แต่พอลงนานเกินไปก็ปรับตัวไม่ไหว ซึ่งเอ็นพีแอลรีเอ็นทรีนี้เกิดขึ้นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมรวมถึงรายย่อยด้วย ซึ่งทางธนาคารเองก็พยายามช่วยดูแลลูกค้าอยู่แล้ว ขณะที่ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมที่มีโรงงานที่ปิดตัวลงนั้นมาจากเรื่องของการบริหาร แต่พอค่าเงินบาทแข็งก็โยงเอามาเกี่ยว ซึ่งจริงๆ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก"นายอภิศักดิ์ กล่าวอีกว่า
นายอภิศักดิ์กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังถือเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาได้ แต่หากไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเติมภาวะการเมืองนิ่งและมีการเลือกตั้งก็น่าจะทำให้มีอัตราการขยายตัวดีกว่าในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจในขณะนี้เป็นเศรษฐกิจขาลงแต่เป็นแบบจัดการได้แต่ในอนาคตก็ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการจัดการของภาครัฐว่าทำได้ดีขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนการดำเนินงานของธนาคารปัจจุบันได้ให้ความสำคัญในการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันธนาคารได้มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการของสาขาต่างๆให้มีความสะดวกและทันสมัยมากขึ้น เพื่อเป็นการรักษาลูกค้าเดิมพร้อมกันนั้นก็เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ด้วย ซึ่งธนาคารตั้งเป้าว่าในสิ้นปีลูกค้ารายย่อย น่าจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ 1.3 ล้านราย มาที่ประมาณ 2 ล้านรายโดยสอดคล้องกับเป้า ATM ที่ธนาคารตั้งเป้าว่าในสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 2 ล้านใบ ส่วนลูกค้าออนไลน์ของธนาคารหลังจากที่เปิดตัวได้ไม่นานปัจจุบันมีลูกค้า 2.5 แสนราย ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น่าพอใจ ส่วนสาขาของธนาคาร ปัจจุบันมี 730 สาขา ภายในสิ้นปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 30-40 สาขา โดยสาขาในศูนย์การค้าจะเปิดให้บริการตลอด 7 วัน เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า
|
|
|
|
|