Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 สิงหาคม 2550
'สว่างจิตต์'ไม่ห่วงNPLเพิ่มเฉลี่ยทั้งระบบไม่เกิน5%             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
สว่างจิตต์ จัยวัฒน์
Loan




"สว่างจิตต์ จัยวัฒน์"รองผู้ว่าธปท. การันตีNPLในระบบทั้งปีไม่เกิน 5% แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจ การเมือง ค่าเงินบาท และราคาน้ำมัน ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง ระบุหลังเลือกตั้งคาดเศรษฐกิจดีขึ้น หากรัฐบาลชุดใหม่ทำงานอย่างจริงจัง พร้อมยกบสก.เป็นองค์กรหลักดูแลและบริหารหนี้และเอ็นพีเอในระบบ คาดแนวโน้มสถาบันการเงินจะต้องเร่งลดภาระ เร่งจำหน่ายทรัพย์ออกมาตามเกณฑ์สำรองใหม่

นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในฐานะประธานกรรมการบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ในขณะนี้ว่า หากพิจารณาจากแนวโนัมNPL ของสถาบันการเงินแล้ว หนี้ยังคงเพิ่มขึ้น เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของหนี้ระดับ 4%กว่า ก็ยังเป็นตัวเลขที่ไม่น่าห่วงมากนัก เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่ตัวเลขหนี้สูงมาก ขณะที่ตัวเลขที่ธปท.ตั้งเป้าที่จะให้หนี้ในระบบสถาบันการเงินอยู่ระดับ 2% นั้น เป็นการตั้งสมมุติฐานในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทั้งเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมัน และภาวะการเมืองที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ธปท.ไม่ได้คาดคิดมาก่อน

"ทางธปท.พยายามที่จะแก้ไขปัญหาหนี้เอ็นพีเอ และถือว่าเราแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ที่ลดได้ไม่มาก ต้องโทษความเชื่อมั่น ราคาน้ำมัน ทำให้ภาพรวมลูกหนี้ของสถาบันการเงิน อาจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามที่กำหนดไว้ ขณะเดียวกันการแข่งค่าของเงินบาทอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้ภาพการลงทุนของบริษัทเอกชนชะลอตัวลงตามไปด้วย แต่เราคิดว่าหลังปี 2550 หากเลือกตั้ง และรัฐบาลชุดใหม่ทำงานอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจดีขึ้น นั่นคือสิ่งที่ทุกๆคนหวัง และธปท.ก็มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของไทย 1-2 ปีข้างหน้ายังโตได้อยู่ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตัวเลขหนี้ในระบบสถาบันการเงินนั้น คาดว่าตลอดทั้งปี 2550 ตัวเลขหนี้น่าจะไม่เกินระดับ 5% "นางสว่างจิตต์กล่าว

ตามข้อมูลของระบบสถาบันการเงิน ณ สิ้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา มียอดสินเชื่อรวม 5,734,450 ล้านบาท โดยมียอดNPLอยู่ที่ 254,510 ล้านบาท หรือคิดเป็นยอดNPL ต่อสินเชื่อรวม 4.41% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีการเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ที่มียอดสินเชื่อรวม 5,734,953 ล้านบาท มียอดNPL ระดับ 239,919 ล้านบาท คิดเป็นยอดNPLต่อสินเชื่อรวมทั้งระบบ 4.19%

นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่บสก.แสดงความเห็นถึงสาเหตุที่ตัวเลขหนี้ในระบบเพิ่มขึ้นนั้น อาจจะมีผลมาจากบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ทางธนาคารพาณิชย์จะต้องมีการกันสำรองหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งบางกรณีอย่างเช่นของบริษัท คิงเพาเวอร์ จำกัด เป็นเรื่องของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ส่วนบริษัท ไทยเพรสซิเด้นท์ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) น่าจะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการภายใน เป็นต้น

" ลูกหนี้ของบสก.ที่กลายเป็นหนี้รอบ 2 มีสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะเรามุ่งปรับโครงสร้างหนี้อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่ปรับโครงสร้างไปเท่านั้น เรามองที่ความสามารถชำระหนี้ได้จริงๆ โดยคาดว่าหนี้รอบ 2 ที่ไหลกลับมาของบสก.มาสัดส่วนแค่ 0.3% เท่านั้น "

ประธานกรรมการบสก.กล่าวถึงภาระหน้าที่ในฐานะที่เข้ามารับผิดชอบบสก.ว่า ตนค่อนข้างพอใจกับผลงาน ซึ่งตลอดที่เข้ามาทำงานอยู่ในบสก.ตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน การดำเนินงานที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าบสก.สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(FIDF)ในฐานะผู้ถือหุ้นของบสก.ได้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา จ่ายเงินปันผลให้FIDF อีก 683 ล้านบาท โดยบทบาทของบสก.จะเป็นองค์กรที่จะเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงิน ทั้งในด้านการซื้อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และทรัพย์สินรอการขาย(เอ็นพีเอ)ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

" ตนมองว่าในระยะข้างหน้าสถาบันการเงินจะมีการเร่งขายหนี้และเอ็นพีเอ เนื่องจากด้วยกฎIAS 39 ที่เข้ม ทำให้สถาบันการเงินต้องเร่งสำรองมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้ ทางบสก.จะเข้าไปช่วยรับหนี้และเอ็นพีเอจากนโยบายลดภาระที่จะต้องเกิดขึ้น "นางสว่างจิตต์กล่าวและว่า

นโยบายของบสก.ในระยะต่อไป จะยังคงสานต่อนโยบายเดิม โดยเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้วยระบบการจัดการที่ดี พร้อมทั้งดำเนินนโยบายในลักษณะเชิงรุก เพื่อสร้างผลประกอบที่ดีให้แก่บสก.สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้บสก.เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย และเป็นองค์กรถาวรที่อยู่คู่กับระบบสถาบันการเงินต่อไป

นายบรรยงกล่าว กล่าวถึงผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ว่า สามารถเรียกเก็บหนี้และจำหน่ายทรัพย์ได้รวมทั้งสิ้น 4,938 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 12,000 ล้านบาท และรับโอนทรัพย์ชำระหนี้จำนวน 1,468 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิจำนวน 953.35 ล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 834.45 ล้านบาท คิดเป็นกำไรเพิ่มขึ้น 14.25% มีอัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนรับซื้อ 176.52% มีอัตราผลตอบแทนต่อต้นเงิน 119.17 % ขณะที่ค่าใช้จ่ายมีอัตราการขยายตัวลดลง 3.91% ขณะที่ครึ่งปีหลังตั้งเป้าเรียกเก็บเงินNPL 3,014.50 ล้านบาท และเป้าหมายเรียกเก็บNPA ประมาณ 2,985.50 ล้านบาท และเป้าหมายกำไรสุทธิอีก 800 ล้านบาท (รวมทั้งปีจะมีกำไรสุทธิประมาณ 1,600 ล้านบาท)   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us