|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นแม้ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มปรับตัวดีขึ้น ต่างประเทศทิ้งหุ้นใหญ่ไม่หยุด ล่าสุดขายเพิ่ม 2.8 พันล้านบาท "ภัทรียา" เตือนลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวนต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ขณะที่"ศุภวุฒิ"แนะกระจายความเสี่ยง เชียร์แบ่งพอร์ตลงทุนต่างประเทศ ระบุเมอลิลินซ์คาดหุ้นทั่วโลกทรุดได้ถึง 15% จากปัจจุบันรูดไปแล้ว 6% ด้าน "เศรษฐพุฒิ" ชี้หากลงทุนหุ้นนอกแล้วค่าเงินบาทอ่อนค่า รับกำไร 2 เด้งได้เหมือนกัน "ประเสิรฐ" ยันพื้นฐานกลุ่มปตท.ไม่เปลี่ยนชี้หุ้นร่วงแค่ฝรั่งขายทำกำไร
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (2 ส.ค.) ดัชนีเปิดตัวแดนบวกในช่วงเช้าก่อนจะมีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่องโดยระหว่างวัน PTT หลุด 300 บาท โดยนักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าปรับพอร์ตหุ้นทั่วโลกแค่ 5 วันขายแล้วหมื่นล้านส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 830.29 จุด ลดลง 3.18 จุด หรือ 0.38% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 844.75 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 820.03 จุด มูลค่าการซื้อขาย 24,132.30 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,834.93 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 466.29 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,368.64 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เปิดเผยว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนค่อนข้างมากซึ่งเป็นผลทั้งจากปัญหาในประเทศและปัญหาจากต่างประเทศที่เข้ามากระทบ โดยที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเมื่อมีปัจจัยลบเข้ามากระทบจึงส่งผลกระทบต่อดัชนีอย่างชัดเจน
ทั้งนี้นักลงทุนจะต้องระมัดระวังและติดตามข้อมูลในการลงทุนอย่างใกล้ชิดและต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะลงทุน เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในหลายครั้งไม่สามารถที่จะคาดการณ์ โดยนักลงทุนควรเลือกเข้าลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดี และมีการจ่ายเงินปันผล
สำหรับการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อพบปะนักลงทุน ปรากฏว่านักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นจำนวนมาก ขณะที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัจจัยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากนัก เนื่องจากค่าเงินบาทเป็นสิ่งที่นักลงทุนสามารถประเมินได้ จากภาพรวมต่างๆที่เกิดขึ้นในทั่วภูมิภาค
ศุภวุฒิแนะกระจายความเสี่ยง
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลกว่า ความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกมีความแตกต่างกันไปการกระจายความเสี่ยงถือว่าเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะต้องทำ โดยปัจจุบันหุ้นในตลาดหุ้นไทยมีไม่ถึง 50 บริษัทที่มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ทั่วโลกมีบริษัทในลักษณะดังกล่าวถึง 1.5 แสนบริษัท
ทั้งนี้ การเลือกลงทุนในต่างประเทศจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการลงทุนเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนที่เฉพาะเจาะจงจนเกินไป โดยเมอร์ลิลินซ์มีการทำวิจัยว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องในโลก อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกประมาณ 15% ขณะที่ในปัจจุบันผลกระทบในเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วประมาณ 6%
"การเลือกลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ การพิจารณาถึงพีอีเรโชถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุน เพราะความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นเรื่องที่ประเมินได้ยากแต่ยิ่งเรามีการลงทุนให้หลากหลายมากขึ้นความผันผวนจากความเสี่ยงในเรื่องต่างๆก็จะลดลง"นายศุภวุฒิกล่าว
เชียร์แบ่งพอร์ตลงปตท.
นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ประเทศไทยเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของโลกยังถือว่าเล็กมาก เพราะเม็ดเงินที่หมุนเวียนในโลกที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนเพียง 0.3% ซึ่งยังคงเป็นคำถามว่าการจะเพิ่มสัดส่วนและความน่าสนใจเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้นจะทำได้อย่างไร
ทั้งนี้ ในหลายประเทศเริ่มมีหันมาเน้นนโยบายในการออกไปลงทุนยังต่างประเทศมากขึ้น โดยประเทศญี่ปุ่นมีการจัดตั้งกองทุนที่นำเม็ดเงินจากแม่บ้านที่มีเงินเก็บเพื่อให้นักลงทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) ไปลงทุนในตลาดหุ้นหลายประเทศทั่วโลกซึ่งเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงรูปแบบหนึ่งจากเดิมที่จะฝากธนาคารเพียงอย่างเดียว
สำหรับผลกระทบจากการไหลเข้ามาของเม็ดเงินจากทั่วโลกเริ่มส่งผลกระทบต่อประเทศไทยมากขึ้น เพราะประเทศไทยยังไม่สามารถจัดการปัญหาในเรื่องการสร้างความสมดุลระหว่างการไหลเข้าออกของเม็ดเงินทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าการบริหารพอร์ตลงทุนด้วยการนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในต่างประเทศเป็นการบริหารจัดการที่เหมาะสม แต่สัดส่วนในการจัดสรรอาจจะต้องพิจารณาตามความพร้อมของแต่ละบุคคล
ลุ้นบาทอ่อนกำไร2เด้ง
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า การไปลงทุนในต่างประเทศหากจะเป็นการลงทุนส่วนตัวยังเป็นเรื่องที่ยากของนักลงทุนไทย การลงทุนผ่านกองทุนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้ โดยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่แตกต่างกันเป็นเหตุผลที่นักลงทุนควรจะมีการกระจายการลงทุน
ทั้งนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นโลกแม้ว่าปัจจุบันค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นทำให้ผลกำไรที่เกิดขึ้นจะไม่สูงมาก แต่หากค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าลงผลกำไรจากการลงทุนจะเป็น 2 ทางทั้งจากราคาหุ้นและค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไป
"ความกังวลเกี่ยวกับสินเชื่อของสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกในตอนนี้ อาจจะไม่ได้อยู่แค่ผลที่จะเกิดขึ้นเพราะหลายคนยังไม่เข้าใจถึงความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าวว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นในขั้นตอนไหน และใครจะเป็นผู้ที่ต้องรับความเสี่ยงดังกล่าวบ้าง"นายเศรษฐพุฒิกล่าว
เชื่อตปท.ขายก่อนซื้อเพิ่ม
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศทั่วโลกขณะนี้ เกิดมาจากการลดการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง โดยภาวะตลาดหุ้นเกิดใหม่นับจากนี้คงจะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อและขาย โดยดัชนีอาจจะไม่ได้ปรับขึ้นลงมากเหมือนช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากสังเกตการเข้ามาซื้อหุ้นของต่างชาติในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่ารอบที่แล้วขายไปกว่า 50,000 ล้านบาท และรอบนี้น่าจะขายประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยขณะนี้ขายไปกว่า 9,000 ล้านบาทแล้ว หลังจากนั้นก็คงจะเข้ามาซื้อและทำกำไรเป็นช่วงๆ เช่นนี้ต่อไป
"มองว่าการปรับฐานครั้งนี้ ยังไม่จบง่ายๆ หนทางยังอีกไกล โดยประเทศไทยที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนจำนวนมาก คาดว่าคงจะต้องรอให้มีเม็ดเงินไหลออกไปสัก 2-3 หมื่นล้านกว่าการปรับฐานจะจบ "
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะเกิดการปรับฐานลงไปประมาณ 15 % จากจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ หรือลงมาในระดับ 770 - 800 จุด เพราะในช่วงก่อนหน้านี้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปสูงภายในระยะเวลาอันสั้น
ขณะนี้ตลาดหุ้นทั่วเอเชียปรับตัวลดลงจากความวิตกเรื่องปัญหาเรื่องสินเชื่อของประเทศสหรัฐ ทำให้นักลงทุนเก็งกำไรเทขายป้องกันความเสี่ยง โดยคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะยังเกิดขึ้นต่อเนื่องประมาณ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งจะสอดคล้องกับช่วงที่จะมีการลงประชามติร่างรับรัฐธรรมนูญพอดี ซึ่งถ้าสามารถผ่านร่างรัฐธรรมนูญได้ จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมาก
PTTทรุดหลุด300บาท
ด้านราคาของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT วานนี้ (2 ส.ค 50) ปรับตัวลดลงมาปิดที่ 302 บาท ลดลง 4.00 บาท หรือ 1.31 %มูลค่าการซื้อขาย 2,270.73 ล้านบาท โดยราคาต่ำสุดอยู่ที่ 296 บาท ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่ราคาต่ำกว่า 300 บาทหลังราคาพุ่งขึ้นเกินระดับดังกล่าวเมื่อ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. กล่าวถึงการที่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะในเครือ ปตท. ปรับตัวลดลงในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาว่า เป็นการปรับลดลงตามภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีแรงเทขายทำกำไร ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเมื่อเข้ามาซื้อหุ้นก็จะซื้อกลุ่มมาร์ตแคปขนาดใหญ่ ดังนั้นเมื่อขายหุ้นก็จะขายกลุ่มนี้ก่อน
ทั้งนี้ มองว่าการปรับลดลงของตลาดหุ้นไทยก็น่าจะเป็นการพักฐานตามปกติที่นักลงทุนต่างชาติต้องการขายทำกำไรออกมาบ้าง ซึ่งประเด็นหลัก คือความกังวลเกี่ยวดับปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ และเกรงว่าสหรัฐจะปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
"พื้นฐานหุ้นของเครือ ปตท. ล้วนไม่มีอะไรแย่ลง ในขณะเดียวกันกำไรของทั้งกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน และปิโตรเคมี ในไตรมาส 2 ต่างขยับดีขึ้น ล่าสุดส่วนต่างราคาน้ำมันดิบและน้ำมันใสยังห่างกันถึง 10 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้น ราคาหุ้นที่ตกลงมาก็เป็นเรื่องไปตามภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก และคาดว่าจะเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น” นายประเสริฐ กล่าว
ปตท.ยังไม่ปรับราคาน้ำมัน
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ใน 1-2 สัปดาห์นี้ ปตท.จะประกาศผลการดำเนินการไตรมาส 2 ซึ่งออกมาดีกว่าไตรมาส 1 ของปีนี้ และผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ก็ไม่แตกต่างจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ว่าในเดือนมิถุนายน 2549 ปตท.จะรับรู้รายได้จากการขายหุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) ก็ตาม
สำหรับเรื่องการปรับราคาน้ำมัน นายประเสิรฐกล่าวว่า บริษัทจะยังไม่มีการลดราคาน้ำมันเบนซิน เพราะล่าสุดราคาน้ำมันเอเชียที่ไทยใช้เป็นฐานอ้างอิงราคาน้ำมันได้ขยับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบสหรัฐเมื่อวันก่อน โดยน้ำมันดิบดูไบ ขยับขึ้นถึง 2.05 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 70.73 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ราคาเบนซิน 95 ขยับขึ้น 0.40 ดอลลาร์สหรัฐ ไปอยู่ที่ 81.75 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ดีเซลขยับขึ้น 1.46 ดอลลาร์สหรัฐ ไปอยู่ที่ 87.01 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเฉลี่ยได้รับประมาณ 1 บาท/บาร์เรล เท่านั้น จึงไม่สามารถลดราคาลงได้ อย่างไรก็ตาม จะติดตามภาวะตลาดอย่างต่อเนื่อง หากราคาน้ำมันโลกลดลงต่อเนื่อง ปตท.ก็พร้อมจะลดราคาลงมา
|
|
 |
|
|