|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
สหพัฒน์ จวก 6 มาตรการแบงก์ชาติแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ระบุเป็นเพียงยาแก้ปวดหัว แต่รักษาโรคไม่ได้ผล แนะพิมพ์ธนบัตรไทยเพิ่ม รับความคิดเห็นเอกชน เตือนแก้ปัญหาไม่ดีบาทมีสิทธิ์แข็ง 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐกิจดิ่งลงเหวเหมือนปี 40 อาจสายเกินแก้ ชี้ภาคเอกชนปรับตัวเร่งพัฒนาสินค้า เพิ่มขีดความสามารถหนีจีนตีตลาด มั่นใจร่างรัฐธรรมนูญผ่าน ประชาชนรอการเลือกตั้ง
นายบุญชัย โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า จากการที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 50 เห็นชอบ 6 มาตรการ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสนอเพื่อดูแลค่าเงินบาท แต่เท่าที่ดูรายละเอียดเห็นว่าไม่ใช้แนวทางการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งที่แท้จริง เพราะมาตรการดังกล่าวเปรียบเสมือนเป็นยาแก้ปวดหัว แต่สถานการณ์นี้ต้องมียารักษาโรคที่ได้ผล ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่เชื่อว่าจะสามารถชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ และในฐานะที่ภาคเอกชนอยากให้ค่าเงินบาทอยู่ที่ 38 บาทต่อดอลลาห์สหรัฐ
ทั้งนี้ธปท.ควรหาวิธีที่จะหยุดการแข็งค่าของเงินบาท ด้วยการพิมพ์ธนบัตรไทยออกมาเพิ่มขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดเงิน ที่ต้องการเงินบาทในตลาดเป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่ต้องกังวลกับภาวะเงินเฟ้อ เพราะสถานการณ์นี้จะต้องแก้ไขปัญหาให้ได้เสียก่อน พร้อมกันนี้ยังสามารถนำเงินดอลลาร์ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ไปใช้ลงทุนในต่างประเทศได้อีกด้วย
รับฟังความคิดภาคเอกชนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ธปท.ควรรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนมากกว่า อย่าใช้วิธีด้วยการทำตามแนวทางของตนเองเพียงลำพัง แม้ว่าแบงก์ชาติจะมีนักวิชาการในกลุ่มของตนด้วย แต่ควรจะรับฟังนักวิชาการอื่นๆ จากข้างนอกด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งต้องยอมรับว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามาจากการโจมตีภายนอก หรือนักเก็งกำไรต้องการให้ค่าบาทแข็งขึ้น ดังนั้นตั้งภาครัฐต้องส่งสัญญาณว่าประเทศจะมีมาตรการที่ตอบโต้ทำให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ นักเก็งกำไรก็จะเปลี่ยนไปทิศอื่น ซึ่งที่ผ่านมาญี่ปุ่นก็ได้รับผลกระทบแต่ก็สามารถแก้ไขได้
“หากภาครัฐบริหารไม่ดี มีแนวโน้มว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าถึง 30 บาทต่อ ดอลลาห์สหรัฐ จากปัจจุบัน 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โอกาสที่ปีนี้จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 มีสูงมาก และถึงตอนนั้นก็ไม่สามารถที่จะพยุงให้ดีขึ้น หรืออาจจะเป็นการยากที่จะแก้ไขได้ในเวลาอันรวดเร็ว เราห่วงผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจส่งออก สำหรับสหพัฒน์มีการส่งออกแค่ 30% เท่านั้น และโดยมากเกิดจากการร่วมทุน นอกจากนี้ในส่วนของบริษัทไลอ้อน ได้นำเข้าวัตถุดิบการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเข้ามาบางส่วน”
แนะภาคเอกชนปรับตัวพัฒนาสินค้าสู้
นายบุญชัย กล่าวว่า สำหรับภาคเอกชนควรปรับตัวเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้า และสร้างความต่างผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ มากขึ้น จากเดิมที่เป็นฐานผลิตสินค้าราคาถูก แต่ปัจจุบันโดนประเทศจีนที่ได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนสินค้าได้แย่งตลาดไป อีกทั้งด้วยค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าขึ้นคิดเป็น10% เมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ค่าเงินแข็งค่าขึ้นเพียง 6-7% ทำให้คู่แข่งได้เปรียบการส่งออกมากกว่า ส่งผลให้ไทยเสียโอกาสในการแข็งขันในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ดั่งเช่นอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เกิดปัญหาขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้คาดว่าการปรับตัวของภาคเอกชนอย่างน้อยต้องใช้เวลา 2- 3ปี
นายบุญชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกำลังการซื้อที่ลดลงไม่ได้เกิดจากการว่างงานหรือภาวะเศรษฐกิจ แต่เกิดจากคนไทยไม่มีอารมณ์ในการจับจ่ายมากกว่า โดยขณะนี้กลุ่มเสื้อผ้าของบริษัทไอ.ซี.ซี.บริษัทในเครือยอดขายลดลง 10-20% ในส่วนของห้างสรรพสินค้า ซึ่งคาดว่าผลประกอบการทั้งปีของสหพัฒน์เพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีราว 16,400 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 15% สำหรับผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกมีอัตราการเติบโต 5-6% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 12%
มั่นใจรัฐธรรมนูญผ่านปลายปีเลือกตั้ง
นายบุญชัย กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยลบมากมาย แต่ก็มีสัญญาณที่ดี ในเรื่องการเลือกตั้ง ซึ่งทุกฝ่ายรอให้มีการเลือกตั้ง เพราะประชาชนเบื่อหน่ายสถานการณ์ที่เป็นอยู่แบบนี้ ต้องการให้มีรัฐบาลถาวร อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ในวันที่ 19 สิงหาคม นี้ อยากให้ทุกคนจะช่วยกันไปลงมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมมั่นใจว่ารัฐธรรมนูญจะผ่าน ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่รับก็มีเพียงแค่คนกลุ่มเดียว และหากผ่านก็จะเกิดการเลือกตั้งได้ทันที
|
|
|
|
|