|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"พีแอนด์จี"หวนคืนสังเวียนผงซักฟอก 1.2 หมื่นล้าน ลอนช์ "แฟ้บ เพอร์เฟค" สูตรมาตรฐาน วาง "ท็อป - ดารณีนุช" ขึ้นแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ชูคอนเซ็ปต์ "value for money" มัดใจแม่บ้านยุคพอเพียง ด้านลีเวอร์ฯ ส่ง "บรีส เพาเวอร์ เทอร์โบ" เปิดเกมส์รับน้องใหม่ ส่วนค่ายไลอ้อนปัดฝุ่น "เปาไวท์" ร่วมสกัดดาวรุ่ง จับตามองบทพิสูจน์หน้าแรกว่า "พีแอนด์จี" จะกู้ชื่อ "แฟ้บ" ให้ตื่นจากฝันร้ายได้หรือไม่
"ตอนนี้แฟ้บมีส่วนแบ่ง 3% จากตลาดรวมผงซักฟอกมูลค่าราว 12,000 ล้านบาท โดยเป็นแชร์ที่เพิ่มขึ้นหลังจากบริษัทลอนช์แฟ้บ กลิ่นมะลิ จากเดิมที่มีไม่ถึง 2% และนับจากนี้ต่อไปเราตั้งเป้าให้แบรนด์นี้มีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักทุกปี" เป็นคำกล่าวของ ปริญดา หัศฎางค์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อครั้งแถลงผลประกอบการประจำปี 2549
และนั่น คือ ผลงานการกลับมาทำตลาดครั้งแรกของ "แฟ้บ" กับบ้านหลังใหม่ "พีแอนด์จี" หลังจากหลุดจากอ้อมแขน "คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ" มานานเกือบปี สงครามครั้งนี้เชื่อว่าต้องซัดกันฟองกระจาย เมื่อผู้เล่นรายใหม่ที่ดูคุ้นเคยอย่างพีแอนด์จีขอรุกหนักกับตลาดผงซักฟอกอย่างเต็มที่ โดยวางเป้าหมายให้แบรนด์แฟ้บเเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ทุกปีนับจากนี้
สำหรับ "แฟ้บ" ผงซักฟอกแบรนด์แรกของไทย ที่ช่วงเวลาหนึ่งเคยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ถึงขั้นกลายเป็น Gemeric name เรียกแทนสินค้านั้น หรือแม้แต่ส่วนแบ่งก็เคยมีสูงสุดถึง 20% มาแล้ว แต่การกลับมาทำตลาดอีกครั้ง เรียกได้ว่า พีแอนด์จีคงต้องออกแรงไม่น้อย ซึ่งกว่าค่ายนี้จะหาจุดลงตัวให้กับแบรนด์แฟ้บได้ก็ใช้เวลาไปพอสมควร โดย "ราคา" เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่พีแอนด์จีจะนำมาใช้ควบคู่กับการตอกย้ำแบรนด์แฟ้บ ที่เรียกได้ว่ายังเป็นข้อได้เปรียบของแบรนด์นี้ ด้วยการลอนช์ภาพยนตร์โฆษณาพร้อมกัน 2 เรื่อง ภายใต้ "แคมเปญ เซอร์ไพรส์" เมื่อเดือนกันยายนปีก่อน เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคให้นึกถึงแบรนด์แฟ้บ โดยมีราคาใหม่ขนาด 145 กรัม ราคา 9 บาท เป็นเครื่องมือช่วยเรียกความสนใจ โดยเฉพาะแม่บ้านกลุ่มต่างจังหวัดที่ต้องการเรื่องคุณภาพและความคุ้มค่าด้านราคา ขณะที่ผู้เล่นรายหลักอื่นๆจะวางราคาเริ่มต้นที่ 10 บาท นับเป็นครั้งแรกของแบรนด์นี้ที่นำเรื่องราคามาสื่อสารกับลูกค้า
ล่าสุด พีแอนด์จีเดินเครื่องเต็มสูบ ด้วยการลอนช์ "แฟ้บ เพอร์เฟค" ออกมามัดใจคุณแม่บ้านกลุ่มซักมือก่อน พร้อมวาง ท็อป-ดารณีนุช เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ สื่อภาพการเป็น "คุณแม่เทอร์โบ" ที่มองการซักผ้าเป็นเรื่องเล็ก เมื่อมีนวัตกรรมจาก "แฟ้บ เทอร์โบ" 1 ใน 5 สูตร จากผงซักฟอกกลุ่มซักมือที่แฟ้บมีอยู่ในตอนนี้ โดยสูตรดังกล่าวพีแอนด์จีวางเป็นหัวหอกหลักเพื่อใช้บุกผงซักฟอกเซกเมนต์นี้โดยเฉพาะ ซึ่งการนำเสนอก็เป็นไปตามตำราการตลาดของพีแอนด์จี ที่ต้องหยิบเรื่องนวัตกรรมมากล่าวด้วย คือ "พลังเม็ดเทอร์โบคลีน" จำนวน 3 สี ที่มีหน้าที่ช่วยให้ผ้าขาว ปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง และการขจัดคราบสกปรก โดยทำการสื่อสารผ่านภาพยนตร์โฆษณาที่ร่วมถ่ายทำผ่านละครซีรี่ส์ ช่อง7 เรื่อง "เฮฮาหน้าซอย" เพื่อความเข้าใจง่ายและให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ทั้งนี้นานกว่า 4 ปีแล้วที่ผู้บริโภคไม่ได้เห็นความเคลื่อนไหวจากแฟ้บ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่องนวัตกรรม
ขณะที่ "บรีส เพาเวอร์ เทอร์โบ" สูตรซักมือของยูนิลีเวอร์ แม้จะไม่มีนวัตกรรมออกมานำเสนอมากมายเท่าสูตรเข้มข้นก็ตาม แต่คุณพ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายก็ยังเห็นความเคลื่อนไหวของแบรนด์นี้ผ่านกิจกรรมหรือแคมเปญการตลาดอยู่บ่อยๆ เช่น โครงการ "บรีสเปิดโลกการเรียนรู้" พัฒนามาสู่ "บรีส เปิดโลก ปันประสบการณ์" ภายใต้แนวคิด กล้าเลอะ ยิ่งเยอะประสบการณ์ ที่สร้างทัศนคติให้คุณแม่กล้าปล่อยลูกให้เล่นได้ตามใจชอบ เพื่อพัฒนาการที่ดีของลูก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าสกปรก จนปัจจุบันต่อยอดมาเป็น โครงการ "ลานเล่นบรีส เพิ่มพลังเรียนรู้" ที่ร่วมสร้างสนามเด็กเล่นให้กับโรงเรียน 200 แห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้เป็นโครงการระยะยาวที่บรีสทำมาต่อเนื่องถึง 7 ปี จึงไม่แปลกที่แบรนด์นี้ซึมเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภค พร้อมครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดด้วยแชร์กว่า 47% รองลงมาคือ โอโม่ 18% เด็กสร้างที่ลีเวอร์ฯปั้นให้เป็นผงซักฟอกซักผ้าขาว ที่จะกล่าวถึงประสิทธิภาพและฟังก์ชันนัลของสินค้ามาเป็นจุดขาย
ดังนั้น การทำตลาดของแฟ้บตั้งแต่นี้ต่อไป เราคงจะได้เห็นความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านโปรดักส์ การจัดโปรโมชั่น และแคมเปญทางการตลาด เช่น ในช่วงเทศกาลวันแม่แห่งชาติ แฟ้บเตรียมจัดแคมเปญ "งานพลังคุณแม่เทอร์โบ พลังรักสีขาว" ในรูปแบบการตลาดเพื่อสังคมที่นำคุณแม่จำนวน 3,000 คนกับลูกๆมาร่วมทำกิจกรรม พร้อมใส่เสื้อสีฟ้าแปรอักษรเป็นรูปหัวใจ เพื่อแสดงความจงรักภักดีแด่องค์แม่ฟ้าหลวง
โดยกิจกรรมดังกล่าวคล้ายกับการจัดกิจกรรม เมื่อตอนเปิดตัว "แฟ้บ กลิ่นมะลิ" ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพีแอนด์จีขอเกาะกระแสเสื้อเหลือง จัดอีเว้นท์ช่วงวันพ่อที่ให้ดาราและเซเลบที่เป็นลูกมาซักเสื้อเหลืองให้พ่อ และนำเสื้อเหลืองที่ได้รับการบริจาคมาทำความสะอาดและนำมาสร้างเป็นพวงมาลัยขนาดยักษ์
จะสังเกตว่า การกลับมารุกตลาดของแฟ้บในครั้งนี้ พีแอนด์จีเลือกจะบุกสูตรมาตรฐานก่อน ขณะที่สูตรเข้มข้นและสูตรน้ำยังไม่มีการโปรโมท ทั้งที่ตอนนี้แฟ้บส่งสินค้าเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายครบไลน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสูตรมาตรฐาน สูตรเข้มข้น และสูตรน้ำที่มีให้ผู้บริโภคเลือกใช้ตามต้องการ เช่นสูตรซักสำหรับผ้าสี สูตรเข้มข้นชนิดน้ำ
เป็นไปได้ว่า ด้วยสัดส่วนของผงซักฟอกสูตรมาตรฐานที่มากถึง 50% จากตลาดรวมผงซักฟอก 12,000 ล้านบาท รองลงมาคือ สูตรเข้มข้น 42% และสูตรน้ำ 8% ขณะเดียวกันในปีนี้ได้มีการคาดการณ์ว่า สูตรมาตรฐานจะมีการเติบโต 2 - 3% และสูตรเข้มข้นจะโตเพียง 0.3% เนื่องจากผู้บริโภคกำลังซื้อลดลง โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านในต่างจังหวัด ทำให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนจากผงซักฟอกสูตรเข้มข้นมาเป็นสูตรมาตรฐานแทน เพราะมีปริมาณใกล้เคียงกันแต่ราคาถูกกว่า
อีกส่วนหนึ่งคงต้องยกนิ้วให้กับค่ายคาโอ ที่ทุ่มเม็ดเงินกว่า 500 ล้านบาท เข็น "แอทแทค อีซี่" เข้ามาปลุกกระแสในเซกเมนต์นี้ตั้งแต่ปลายปีก่อน ชนิดที่เรียกว่าทำให้ผู้นำอย่าง "บรีส" สะดุ้งได้เหมือนกัน เพราะหลังจากที่คาโอส่ง "แอทแทค อีซี่" ที่ชูคอนเซ็ปต์ "พลังขยี้ 10 แรงมือ" เข้าสู่ตลาดได้ไม่นาน ก็สามารถขยับแชร์เพิ่มขึ้นได้ถึง 5 จุด ซึ่งนับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับตลาดสินค้าอุปโภคที่มีการอิ่มตัว 100% ถึงขนาดที่บรีสต้องส่ง "พรีส เพาเวอร์ เทอร์โบ" พร้อมโต้ตอบผ่านหนังโฆษณาอย่างชัดเจนว่า ใช้เพียง2 มือก็สามารถขจัดคราบสกปรกออกจากเสื้อผ้าได้ และนี่คือชนวนสำคัญที่ทำให้ผงซักฟอกเซกเมนต์นี้ดุเดือดขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ที่ความเคลื่อนไหวส่วนใหญ่จะอยู่ในผงซักฟอกสูตรเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การพัฒนานวัตกรรม
เช่นเดียวกัน เมื่อพีแอนด์จีส่งแฟ้บเข้ามารุกเซกเมนต์นี้ เพื่อเป็นการสกัดดาวที่เคยรุ่งอยู่ในตลาดนี้มาก่อน บรีสจึงต้องออกมาเปิดเกมส์รับน้องใหม่อย่างเต็มที่ เพื่อวัดฝีมือพลังซักของพีแอนด์จี คู่แข่งที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาในทุกประเภทสินค้า ไล่ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ซึ่งหากเทียบกันแล้ว บรีสคงมีภาษีดีกว่าแฟ้บในทุกด้าน แต่ถ้ามองความเป็นยูนิลีเวอร์ กับ พีแอนด์จี เรียกว่างานนี้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะแม้ในสายตาผู้บริโภคคนไทยยูนิลีเวอร์ฯจะเป็นผู้นำและมีภาพความเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการซักล้างเหนือกว่าพีแอนด์จีก็ตาม ทว่า ในตลาดโลกพีแอนด์จีถือเป็นผู้นำและโดดเด่นเรื่องดังกล่าวไม่น้อย และแน่นอนว่าพีแอนด์จีต้องนำ Know How ระดับโกลบอลมาพัฒนาแบรนด์แฟ้บให้มีศักยภาพสู้ศึกตลาดผงซักฟอกในไทย โดย เมธี จารุมณีโรจน์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด ค่ายพีแอนด์จี บอกว่าเป้าหมายแรกของแฟ้บในปีนี้ คือ การเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 7% จากตอนนี้ที่อยู่เพียง 3%
แม้ตอนนี้ สายตาหลายคู่จะจับจ้องไปที่แฟ้บ, บรีส, แอทแทค อีซี่ เพราะเป็นแบรนด์ที่กำลังมีความเคลื่อนไหวตีกันฟองกระจายท่วมกะละมังก็ตาม แต่ผู้เล่นอีกรายที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ "เปา" ของค่ายไลอ้อนในเครือสหพัฒน์ ที่ขอลงสนามต้อนรับน้องใหม่ในสูตรมาตรฐานอีกราย ด้วยการทุ่มเม็ดเงินกว่า 200 ล้านบาท ปัดฝุ่น "เปาไวท์" อีกรอบ หลังจากเคยใช้นวัตกรรม "เฮยาบูชิ" ลดกลิ่นอับของผ้ามาเป็นจุดขายเมื่อ1 - 2 ปีก่อน โดยการลอนช์เปาไวท์ครั้งนี้ ไลอ้อนจะหยิบเรื่องความขาวมาเป็นตัวแข่งขัน โดยคาดว่าการบุกครั้งนี้จะสามารถขยับแชร์จาก 14% เป็น 15%ได้ในสิ้นปีนี้
เมื่อยักษ์ใหญ่พร้อมใจกันโดดเข้าเล่นในสนามรบแห่งนี้ แน่นอนว่าการแข่งขันของตลาดผงซักฟอกในไทยคงเข้มข้น และร้อนแรงขึ้นอย่างแน่นอน นี่เป็นเพียงยกแรกกับสงครามสูตรมาตรฐาน ต้องติดตามกันต่อไปว่า พีแอนด์จีจะปลุก "แฟ้บ" ให้ตื่นจากฝันร้ายได้หรือไม่ ศึกยกนี้คงบอกทิศทางของแฟ้บได้ไม่มากก็น้อย
|
|
|
|
|