Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์30 กรกฎาคม 2550
“ยูนิลีเวอร์” เบนเข็มแข่งตลาดกลุ่มอาหารเพิ่มจุดแข็งแบรนด์ “คนอร์” ย้ำผู้นำตลาดโจ๊กสำเร็จรูป             
 


   
www resources

โฮมเพจ ยูนิลีเวอร์

   
search resources

ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง, บจก.
Food and Beverage




แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอาหารในไทยที่มีการขยายตัวค่อนข้างสูง กอปรกับแนวโน้มกลุ่มอาหารของยูนิลีเวอร์ในเอเชียมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ปัจจัยเหล่านี้คือที่มา ที่ทำให้นโยบายของบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เริ่มเบนเข็มมาให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจอาหารของบริษัท ซึ่งปัจจุบันกลุ่มธุรกิจอาหารที่ทำตลาดภายใต้ 2 แบรนด์หลักคือ คนอร์ เบสท์ฟู้ด และไอศกรีมวอลล์ มีสัดส่วนรายได้เป็น 20% ของรายได้รวม ยูนิลีเวอร์ในประเทศไทย

สำหรับแผนการทำธุรกิจกลุ่มอาหารในเชิงรุกนั้น เจอโรม ชาราโชน รองประธานกรรมการบริหาร-กลุ่มธุรกิจอาหารและไอศกรีม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด บอกว่า ตามนโยบายผลิตภัณฑ์หมวดอาหารของบริษัทแม่บริษัทวางแผนจะขยายไลน์สินค้าอาหารกลุ่มใหม่ ภายใต้แบรนด์คนอร์เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้น

กอปรกับ การบุกธุรกิจอาหารโดยใช้แบรนด์คนอร์ มีโอกาสทางการตลาดสูงมาก โดยเฉพาะในตลาดโจ๊กสำเร็จรูปมีตัวเลขการเติบโตถึง 15% ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นแบรนด์คนอร์ มีการเติบโตเพิ่มสูงถึง 20% ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขการเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลักมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน ซึ่งการเติบโตอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ โจ๊กคนอร์ ครองแชร์เบอร์หนึ่ง เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 82% ตามมาด้วยมาม่า มีส่วนแบ่ง 13% ของตลาดรวมโจ๊กสำเร็จรูปทั้งแบบซองและถ้วย มูลค่า 600 ล้านบาท

นริสสา อมรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการพัฒนาการตลาด กล่าวว่า สำหรับการทำตลาดโจ๊กสำเร็จรูปที่แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ตลาดต่างจังหวัดส่วนใหญ่นิยมรูปแบบซอง ส่วนโจ๊กสำเร็จรูป ในรูปแบบถ้วย ที่มีจุดขายที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในพื้นที่ตลาดกรุงเทพฯ และหัวเมืองทั่วประเทศ ที่ชอบความสะดวกสบาย ขณะเดียวกันรสชาติของโจ๊กยังเป็นตัวแบ่งตลาด โดยโจ๊กหมู และไก่ เน้นจับตลาดกลุ่มลูกค้าเด็ก ส่วนเทรนดี้โจ๊ก เน้นกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น

สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มธุรกิจอาหารของ ยูนิลีเวอร์ ไทยล่าสุดนั้น ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าในกลุ่มคนอร์เป็นครั้งแรกสำหรับการทำตลาดประเทศไทย รวมทั้งเน้นทำตลาดทั้งกลุ่มลูกค้าเด็ก และวัยรุ่น และขยายฐานในลูกค้า 2 กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วนแบบถ้วย 60% และแบบซอง 40%

ประการแรก ขยายตลาดโจ๊กคนอร์แบบซอง ที่มีอัตราเติบโตอยู่ที่ 20% ต่อปี และเน้นจับตลาดลูกค้าต่างจังหวัด ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายระหว่างกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในสัดส่วนเท่ากันคือ 50:50 ด้วยการใช้กลยุทธ์ไซซิ่ง ที่มีราคาเป็นตัวดึงดูดเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น โดยมีการปรับขนาดและราคาสินค้าใหม่รูปแบบซองขนาด 40 กรัม ราคา 8 บาท จากเดิมปริมาณ 42 กรัม ราคา 10 บาท

ประการที่สอง เพิ่มมูลค่าสินค้า เติมคุณค่าสารอาหารเพิ่มเข้าไปในสินค้าโจ๊ก ด้วยการเปิดตัว คนอร์ เอนเนอร์จี คัพ โจ๊ก วิตามินบี 1 สูตรใหม่ ทั้งนี้เพื่อทำตลาดเชิงรุกในตลาดโจ๊กสำเร็จรูป ที่เน้นจับกลุ่มเป้าหมายเด็กอายุ 6-12 ปี และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคุณแม่ยุคใหม่ สำหรับทำตลาดในเมืองและกรุงเทพฯ โดยใช้งบการตลาดประมาณ 40 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย แจกสินค้าตัวอย่างผลิตภัณฑ์โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปสูตรใหม่ จำนวน 1 ล้านชิ้น ตามห้างสรรพสินค้า 132 แห่งทั่วประเทศ

อีกทั้งจัดโรดโชว์ตามโรงเรียนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จำนวน 62 แห่ง ตั้งแต่เดือน ส.ค.-พ.ย.นี้ ภายใต้ชื่อโครงการ “คนอร์ พลังเด็ก มอร์นิ่งแดนซ์”เพื่อเด็กไทยแข็งแรงกับปฏิบัติการ “2 อ.” เพื่อสร้างนิสัยการกินอาหารเช้า และรณรงค์ให้เด็กออกกำลังกาย เพื่อพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์

“ ปัจจุบันรูปแบบการใช้ชีวิตที่เร่งรีบทำให้คุณแม่หลายคนไม่มีเวลาใส่ใจกับอาหารมื้อเช้าให้ลูกๆ ซึ่งจากข้อมูลการสำรวจของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า 30% ของเด็กอายุระหว่าง 6-12 ปี ไม่รับประทานอาหารเช้า และขาดการออกกำลังกาย ยิ่งกว่านั้นจากการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยพบว่า คนไทยที่เป็นผู้ใหญ่มีจำนวน 1 ใน 3 ที่ไม่รับประทานอาหารเช้า และสัดส่วนการรับประทานโจ๊กสำเร็จรูปเฉลี่ยมีเพียง 1 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งเป็นช่องว่างในตลาดที่สามารถเพิ่มความถี่เพื่อให้สินค้ามีโอกาสทางการตลาดมากขึ้น และคาดสิ้นปีจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีก 2-3% หรือมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มกว่า 83% ” ผู้อำนวยการพัฒนาการตลาด กล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us